วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภัยผิวที่แฝงมากับฤดูฝน


ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกชุกในช่วงนี้ ภาวะหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อฝนตกคือมักเจอกับอากาศที่อับชื้น ทำให้บางครั้งอาจเกิดผื่นแปลกๆ ขึ้นบนผิวหนังได้
ปัญหาที่พบได้เสมอในช่วงหน้าฝนมักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา เนื่องจากลักษณะเฉพาะของเชื้อโรคกลุ่มนี้ที่เจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่ชื้น แฉะ ผื่นจากเชื้อรามีได้หลากหลายรูปแบบ เรามาดูผื่นที่พบได้บ่อยๆ กันดีกว่า

วงด่างๆ สีขาวหรือสีเนื้อ ในบางคนอาจขึ้นเป็นวงสีน้ำตาล ร่วมกับมีขุยสีขาวเล็กๆ มักเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้

นอกจากดูไม่สวยงามแล้วยัง ทำให้เสียบุคลิก ผื่นชนิดนี้เป็นลักษณะของโรคเกลื้อน ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่นที่สุขอนามัยไม่ค่อยดี ไม่ชอบอาบน้ำ เชื้อเกลื้อนเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Malassezia furfur สามารถพบได้บนผิวหนังของคนทั่วไป แต่ปกติแล้วไม่ก่อโรค ยกเว้นในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหงื่อออก หรือตากฝน แล้วไม่ยอมอาบน้ำ ร่างกายชื้นแฉะอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดผื่นลักษณะดังกล่าวขึ้น

ในคนที่น้ำหนักมาก หรือภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจเกิดผื่นสีแดงขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ร่วมกับมีอาการคันมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา (Candida) สามารถรักษาให้หายได้โดยการทายาฆ่าเชื้อราทั่วไป แต่มักเป็นซ้ำได้บ่อย เพราะยีสต์ชนิดนี้พบได้ในร่างกายของคนเรา เช่น บริเวณช่องปาก ระบบทางเดินอาหาร และช่องคลอด
ช่วงที่ฝนตกมากๆ บางพื้นที่อาจมีน้ำท่วมขัง หรือเวลาฝนตกนานเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ต้องเดินย่ำน้ำชื้นแฉะเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากยังไม่รีบทำความสะอาดเท้า

ผ่านไปสักระยะหนึ่ง อาจพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาว ๆ หรือเปียกยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีน้ำเหลืองแฉะที่ผิว เรียกว่าโรคน้ำกัดเท้าหรือเชื้อราที่เท้า เกิดจากเชื้อกลากซึ่งอยู่ตามสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ผื่นที่เท้าอาจจะลามไปที่ลำตัวส่วนอื่นได้ ที่พบบ่อยคือทำให้เกิดผื่นบริเวณขาหนีบ เรียกว่า สังคัง

เวลาถอดรองเท้า บางคนอาจมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เมื่อก้มดูที่ฝ่าเท้าจะเห็นเป็นรูพรุนเล็ก ๆ หรือเป็นแอ่งเว้าแหว่งตื้น ๆ เรียกว่า โรคเท้าเหม็น สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์หนาๆ ซึ่งมักจะแห้งยากในหน้าฝน

นอกจากนี้ ในน้ำที่ขังตามพื้นถนนอาจมีพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิปากขอซึ่งสามารถชอนไชเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ หรือ ถ้าโชคไม่ดี ได้รับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฉี่หนูเข้าไปตามรอยแผลเล็กๆ ที่เท้า อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

โดยสรุปแล้ว ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า สาเหตุของโรคส่วนใหญ่มาจากการย่ำน้ำสกปรก หรือปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นอยู่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เชื้อซึ่งพบได้ตามสิ่งแวดล้อมทั่วไปเพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อให้เกิดโรค ดังนั้นการป้องกันอันดับแรกคือหลีกเลี่ยงการเหยียบย่ำน้ำ หรือตากฝน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับถึงที่พัก ควรรีบถอดเสื้อผ้า แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชนิดพิเศษแต่อย่างใดเพราะอาจแรงเกินไป เสร็จแล้วใช้ผ้าซับหรือใช้พัดลมเป่าให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้นและการเสียดสีได้ เสื้อผ้าและถุงเท้าที่ใช้ ควรทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไปเพื่อให้ระบายอากาศได้ดี หน้าฝนผ้ายีนส์จะแห้งยากทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่ายจึงควรระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้แล้วการใส่รองเท้าแตะบ้างก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อราที่เท้าได้ เช่นกัน

... หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน และนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับอากาศในช่วงฤดูฝนนี้ ...

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นวดหน้าลดริ้วรอย

นวดหน้าลดริ้วรอย
ใครที่อยากให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลง วันนี้เรามีวิธีนวดหน้าลดริ้วรอยมาบอก...
เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย

บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบาๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบาๆ นับ 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูบออกด้านข้างในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ท้องริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณกึ่งกลางคางขึ้นไปที่บริเวณมุมปากใน ลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุมปากในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบาๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลงได้ แถมยังทำให้ผ่อนคลายได้อีกด้วย.

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปาจิงโกะ



ปาจิงโกะเป็นเกมลูกเหล็กแบบตั้ง บนกระดานมีแผงเข็มหมุด เครื่องกีดขวาง และรู เป้าหมายของเกมก็คือ การทำให้ลูกเหล็กผ่านเครื่องกีดขวางต่าง ๆ เพื่อเข้าในรู เมื่อลูกเหล็กผ่านเข้าไปในรูได้ ลูกเหล็กจำนวนหนึ่งจะไหลออกมาเป็นรางวัลผู้เล่นสามารถนำลูกเหล็กเหล่านั้นไป แลกเปลี่ยนเป็นเงินรางวัลได้

ปาจิงโกะมีต้นกำเนิดมาจากเกมลูกเหล็กของเด็ก ๆ ที่ชื่อว่า “กะฉังโกะ” ในระยะแรกการเล่นปาจิงโกะเป็นเกมง่าย ๆ ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องมีทักษะพิเศษในการเล่นแต่อย่างใด แต่นับจากทศวรรษ ๑๙๘๐ รูปแบบของเกมเริ่มซับซ้อนมากขึ้น โดยพึ่งกลไกชนิดใหม่และเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องมีทักษะมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากสามารถพัฒนาโอกาสที่จะชนะให้มากขึ้นได้ โดยเรียนรู้ถึงโอกาสต่าง ๆ ที่น่าจะเป็น และกะเวลาในการตอบสนอง ร้านปาจิงโกะจำนวนมากในปัจจุบันได้เสนอมุมพิเศษสำหรับผู้เล่นสตรีและผู้สูง อายุ

ปาจิงโกะถือเป็นสิ่งหย่อนใจประจำชาติของชาวเมืองในญี่ปุ่น แต่เนื่องจากเครื่องมือต่าง ๆ ได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมาก จึงทำให้ราคาค่าเล่นแพงขึ้น ปาจิงโกะจึงไม่ใช่สิ่งบันเทิงราคาถูกดังที่เคยเป็นมาในอดีต

ชาวญี่ปุ่นที่เป็นแฟนปาจิงโกะมีอยู่ถึง ๒๙ ล้านคน โดยยอดเงินรวมประจำปีของตลาดปาจิงโกะมีอยู่ประมาณ ๔ แสน ๘ หมื่นล้านบาท

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สุนทรภู่

Poo-2.jpg

พระสุนทรโวหาร นามเดิม ภู่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สุนทรภู่ (26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2398) เป็นกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียง ได้รับยกย่องเป็น มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์[ใครกล่าว?] หรือ เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย[1] เกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 4 ปี และได้เข้ารับราชการเป็นกวีราชสำนักในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลาร่วม 20 ปี ก่อนจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นอาลักษณ์ในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต

สุนทรภู่เป็นกวีที่มีความชำนาญทางด้านกลอน ได้สร้างขนบการประพันธ์กลอนนิทานและกลอนนิราศขึ้นใหม่จนกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางสืบเนื่องมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผลงานที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่มีมากมายหลายเรื่อง เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศสุพรรณ เพลงยาวถวายโอวาท กาพย์พระไชยสุริยา และ พระอภัยมณี เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่อง พระอภัยมณี ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนนิทาน และเป็นผลงานที่แสดงถึงทักษะ ความรู้ และทัศนะของสุนทรภู่อย่างมากที่สุด งานประพันธ์หลายชิ้นของสุนทรภู่ได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการ เรียนการสอนนับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เช่น กาพย์พระไชยสุริยา นิราศพระบาท และอีกหลายๆ ส่วนในเรื่อง พระอภัยมณี

ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปีชาตกาล สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้ เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นกำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์แห่งอื่นๆ อีก เช่น ที่วัดศรีสุดาราม ที่จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดนครปฐม วันเกิดของสุนทรภู่คือวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็น วันสุนทรภู่ ซึ่งเป็นวันสำคัญด้านวรรณกรรมของไทย มีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์, ถนอมดวงตาเวลา, ดวงตา, สายตา, ตา
น้อง ๆ วัยเรียนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้า ดังนั้น เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ให้ดีไปนานๆ สัปดาห์นี้ Edutainment Zone ชวนมาถนอมดวงตากัน

1.เริ่มจาก 'จอภาพ' ควรห่างจากสายตาประมาณ

1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2.ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3.คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกล ๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4.หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือ หาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี ลองไปปรับใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดกันดู เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้ใสปิ๊ง และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพให้นานที่สุด.

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

8 เคล็ดล้างหน้าที่คุณไม่เคยรู้



รู้หรือเปล่า สาเหตุหนึ่งของปัญหาสิว นั่นก็คือการล้างเครื่องสำอางค์ออกจากใบหน้าไม่หมดจด แล้วยังทำให้การบำรุงผิวที่ตามมาลงใบบำรุงอย่างไม่เต็มที่อีกด้วย

เรื่องที่น่าสนใจก็คือ มีสาวๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่เชี่ยวชาญเรื่องการแต่งหน้ามากขั้นตอน ยิ่งกว่าการล้างเครื่องสำอางค์เพียงหนึ่งขั้นตอนเสียอีก อย่างนี้ต้องพกเคล็ดลับกันด่วน ผิวจะได้หายใจได้ และไม่แบกสารเคมีจากเครื่องสำอางค์ไว้บนใบหน้าอีกต่อไป

เคล็ดข้อ 1: เลี่ยงสารล้างหน้าที่มีสารสังเคราะกลุ่ม SLS (หรือ SLES)

นั่น เพราะสารเคมีกลุ่มนี้ทำหน้าที่ลดแรงตึงผิว (Sodium Lauryl Sulfate) ทำให้โฟมล้างหน้าเกิดฟอง หลังล้างหน้าผิวจะรู้สึกตึง จึงทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าหน้าสะอาด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เป็นสารเคมีควรเลี่ยงที่อาจทำให้ผิวแพ้ได้ และในปัจจุบันก็มีสารทดแทนสารเคมีตัวนี้มากมายและยังสกัดได้จากธรรมชาติอีก ด้วย

เคล็ดข้อ 2: เคล็ดคือการรักษาความสมดุล

จุดประสงค์ของการล้างหน้า (ที่ไม่รวมการลบเครื่องสำอาง) คือการชะล้างคราบสกปรกและไขมันที่อาจไปอุดตันรูขุมขน แต่การใช้โฟมล้างหน้าที่ทำให้ผิวตึง จะสร้างโอกาสในการนำไขมันตามธรรมชาติให้หลุดออกไป และทำให้สภาพความเป็นกรดอ่อนๆ ของใบหน้า (ที่ทำหน้าที่กำจัดแบคทีเรีย) เปลี่ยนไป ทางที่ดีจึงควรเน้นสารล้างหน้าที่ไม่ทิ้งความตึงผิว และยังคงรู้สึกว่าผิวชุ่มชื่นหลังใช้

เคล็ดข้อ 3: ล้างหน้าตอนเช้าน้อยๆ

เรากำลังหมายถึงการล้างหน้าที่ให้อ่อนโยนที่สุดในช่วงเช้า อาจเป็นสารล้างหน้าที่ไม่มีฟอง การเช็ดด้วย Wipe ที่อ่อนโยน หรือแม้แต่การล้างน้ำเปล่า นั่นเพราะช่วงเวลานอนผิวหน้าของไมได้เผชิญกับฝุ่นควันใดๆ นอกเสียจากการขับเหงื่อและผลิตไขมันเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีความจำเป็นอะไร ที่เราจะใช้โฟมล้างหน้าฟองหนาๆ ให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น

เคล็ดข้อ 4: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็พอ

เมื่อเคล็ดลับคือการรักษาระดับไขมันตามธรรมชาติให้ทำงานตามปกติ การล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น ก็เพียงพอมากแล้ว แต่เน้นสักนิดในช่วงเย็น ที่หากเราแต่งหน้ามาก ก็ควรเช็ดล้างด้วยคลีนซิ่ง โลชั่น หรือ คลีนซิ่ง ออยล์ ก่อน จากนั้นจึงค่อยล้างออกอีกครั้งเพื่อให้ผิวสะอาดที่สุด อาจตามด้วยโทนเนอร์ที่เน้นสารสกัดจากรรมชาติ เพื่อให้กลไกผิวทำงานสอดคล้องกัน

เคล็ดข้อ 5: กดเบาๆ และนวด

ผิวหน้ามีความบอบบางมาก ยิ่งเราลงแรงมากเท่าไร ผิวอาจบอบช้ำ เกิดริ้วรอย หรือรูขุมขนอาจกว้างมากขึ้น ขณะล้างหน้า ลองขยี้เนื้อเจล หรือครีมล้างหน้าก่อนบนฝ่ามือ จากนั้นกดเบาๆ บนผิวแล้วนวดวนเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า ล้างออกให้หมดจด และใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มๆ ซับเบาๆ ให้แห้ง

เคล็ดข้อ 6: แยกการล้างหน้าและการสครับออกจากกัน

แม้การใช้ครีมล้างหน้าที่ผสมสารสครับ (แบบ 2 in 1) จะทำให้เรารู้สึกสะดวกสบาย แต่ก็สามารถทำร้ายผิวได้อย่างไม่ตั้งใจ เพราะการล้างหน้าควรเบามือ ในขณะที่การสครับคือการกดและใช้สารบางชนิดมาช่วยขัดลอกเซลล์ผิว ที่ไม่ควรทำบ่อยๆ หรืออย่างมากเพียงอาทิตย์ละครั้ง ดังนั้นยิ่งไม่เป็นการดีแน่หากเราล้างหน้าพร้อมสารสครับในทุกวัน ที่เป็นการกำจัดสารหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติออกอย่างไม่ตั้งใจ

เคล็ดข้อ 7: ล้างมือให้สะอาดก่อนล้างหน้า

เพราะมือของเราสะสมเชื้อโรคไว้มากมายในแต่ละวัน การปล่อยให้เชื้อโรคเหล่านี้ติดบนใบหน้าจึงไม่ดีแน่ ทางที่ดีควรล้างมือให้สะอาดก่อนด้วยสบู่ หรือล้างหน้าหลังอาบน้ำ จากนั้นจึงค่อยบีบสารล้างหน้าลงบนฝ่ามือ แล้วล้างตามขั้นตอน

เคล็ดข้อ 8: สระผมก่อนล้างหน้า

มีสาวๆ หลายคนมีสิวเพราะแพ้แชมพู ด้วยเพราะแชมพูมีสารเคมีหลายๆ ชนิดเป็นส่วนผสม ซึ่งมีความเข้มข้นสูง เสี่ยงต่อการระคายเคืองง่าย ดังนั้นแล้ว ควรที่จะล้างหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งยังเป็นการทำความสะอาดคราบแชมพูออกจากใบหน้าไปในตัว

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กินนมตอนเช้าแล้วท้องเสีย ใครเป็นงี้บ้างเอ่ย

เกิดเนื่องจากขาดเอ็นไซม์ lactase ซึ่งย่อยน้ำตาล lactose ที่มีอยู่มากในนมนะ น้ำตาล lactose ถ้าไม่ถูกย่อยก่อนจะดูดซึมไม่ได้ จึงค้างอยู่ในลำไส้แล้วออกไปพร้อมกับอุจจาระ ปัญหาคือตัวมันอุ้มน้ำติดตัวไปด้วย ทำให้อุจจาระเหลวหรือท้องเสีย จริงๆ แล้วโปรตีนหรือสารอาหารตัวอื่นๆ ยังถูกดูดซึมได้ แต่ถ้าท้องเสียบ่อยๆ ก็คงไม่ดี เพราะร่างกายจะขาดน้ำ ทำให้อ่อนเพลียได้ ภาวะขาดเอ็นไซม์ lactase หรือผลิตเอ็นไซม์นี้ได้น้อยพบได้บ่อยในคนไทย
อาจเลี่ยงไปใช้ แหล่งโปรตีนอื่นที่ไม่ใช่นม หรือใช้นมชนิดที่สกัดเอาน้ำตาล lactose ออกไปมากแล้ว หรือใช้ชนิดที่ผสมเอ็นไซม์ lactase เอาไว้ด้วย


ใน นมนั้นจะมีโปรตีน และน้ำตาลมอลโตสอยู่ ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ร่างกายมนุษย์สามารถที่จะย่อยสลายได้น้ำตาลกลูโคส และกาแลกโตสโดยใช้น้ำย่อยแลคเตส แต่ว่าคนเอเชียเมื่อโตขึ้นนั้น ร่างกายจะลดการผลิตน้ำตาลนี้ไป ทำให้ไม่สามารถย่อยได้ ส่งผลให้จุลินทรีย์ในท้องนั้นนำน้ำตาลไปใช้ เกิดการย่อยสลายและกลายเป็นแก๊สออกมา นอกจากนี้ทำให้ร่างกายต้องดึงน้ำมาขับจุลินทรีย์เหล่านี้ออกไป ส่งผลให้ท้องเดิน ท้องอืด จุกเสียด และท้องเสีย ขี้เหลวไหลเป็นน้ำใสๆ
วิธี แก้ทางหนึ่งที่เขียนไว้ก็คือให้กินโยเกิร์ตแทน วิธีต่อมาคือกินแต่น้อย วิธีลดอาการท้องเสียก็คือกินให้น้อยลง ท้องจะแค่ทุรนทุราย แต่ไม่ถึงกับเสีย หรือกินพร้อมอาหารอื่นๆ เพื่อให้ท้องได้ย่อยอาหารพร้อมกัน

onion25

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

13 วิธีแก้โรคเครียดในที่ทำงาน



13 วิธีแก้โรคเครียดในที่ทำงาน


หากคุณรู้สึกว่างานที่ทำกำลังปลุกต่อมเครียดให้มีชีวิต ไหนจะมีประชุมแต่เช้าตรู่ นั่งทำงานที่โต๊ะไม่ถึง 10 นาที ก็มีโทรศัพท์เข้ามาไม่ขาดสาย บ่ายก็ต้องวิ่งออกไปหาลูกค้า ตอนเย็นยังต้องกลับมาทำ Report ส่งเจ้านาย เวลากลับบ้านไม่วายรถก็ติดแสน ฯลฯ เรามีวิธีช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายๆ แถมเติมโบนัสทางความคิดและมุมมองดีๆ แบบนี้เลย...

1. สูดกลิ่นหอม รู้หรือเปล่าว่า กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์จะช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียดๆ ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ อย่างกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยตรงโต๊ะทำงานก็ไม่เลวนะ เชื่อสิว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเลยเชียว

2. ตากอากาศระยะสั้น เมื่อความเครียดรุมเร้า ก็ไม่ควรอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ทางที่ดีคุณควรหาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์ใกล้ๆ ธรรมชาติสักพัก อาจเป็นสวนหย่อมในที่ทำงาน หรือคาเฟทาเรียใกล้ๆ จากนั้นเดินผ่อนคลายและหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่มันมาจากชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป

WOW! เพียงแค่ 10 นาทีวิธีนี้ก็จะชาร์จพลังให้หัวใจของคุณให้ดีขึ้นได้

3. จินตนาการแสนสุข อีกทางเลือกในการบรรเทาความเครียด คือ ดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน โดยหลับตาแล้วหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ แล้วหยุดไว้สองวินาทีก่อนหายใจออก การหยุดช่วงสั้นๆ จะมีผลทำให้ระบบประสาทสงบลง ทำแบบนี้ในที่เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองว่าจะรู้สึกดีแบบทันตาเห็น จากนั้นก็นึกถึงช่วงเวลาดีๆ ในการทำงาน เช่น วันที่ได้รับคำชมจากเจ้านาย หรืองานชิ้นโบว์แดงที่คุณทำแล้วรู้สึกภาคภูมิใจ เป็นต้น

4. หนังสือบำบัด หาหนังสือที่อ่านแล้วสบายใจ เล่มบางๆ มาไว้ใกล้มือ เครียดเมื่อไหร่หยิบมาพลิกอ่านสักหน้าสองหน้าแก้เครียด

5. สร้างอารมณ์ขัน หลังจากทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ลองชวนเพื่อนที่มีอารมณ์ขันคุยเบาๆ จะช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง คนที่หัวเราะง่ายมักมีสุขภาพกายและจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาททางหนึ่งด้วย (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด)

DID YOU KNOW! สำหรับบางคนการหัวเราะเพียงครั้งเดียวมีค่าเท่ากับการผ่อนคลายสี่สิบห้านาทีเต็มทีเดียว

6. พลังแห่งการสัมผัส ถ้ามีเพื่อนสนิทในที่ทำงานอาจสลับสับเปลี่ยนกันนวดบรรเทาอาการเครียด เพราะการโอบกอดหรือสัมผัสเบาๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ชื่อ ออกซิโทชิน ช่วยลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ทำให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

MUST DO! นวดศีรษะ โดยกางนิ้วออกแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ไล้จากคางขึ้นไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับมาที่ท้ายทอย หรือจะนวดบริเวณหางตาได้ด้วยก็ได้

7. โทรหาเพื่อนรู้ใจ อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ทุกปัญหาได้ไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งแค่ไหนก็ยังต้องการที่พึ่งพิงบ้าง ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสักคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ การมีคนรับฟังและให้คำปรึกษาจะทำให้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงเริ่มเข้าที่เข้าทาง มากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า คุณไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลก แต่ขอเตือนว่าอย่าเมาท์เพลินจนเสียงานก็แล้วกัน

8. หามุมสงบ - ฟังเพลง ฟังเพลงเบาๆ โดยเฉพาะเพลงแนว Meditation ทั้งเสียงบรรเลงดนตรีและเสียงธรรมชาติ อย่างเสียงคลื่น น้ำตก นกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคืนสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์

9. ทดลองหลับ บางตำรากล่าวไว้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาสมดุลแห่งความเครียด คือ การฝึกจิตง่ายๆ ครั้งละ 10 - 15 นาที เช้าและเย็น ด้วยการนั่งท่าสบายๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่วางไขว้กัน หรือหาที่เหมาะนอนท่าเหยียดยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย เพื่อผ่อนคลายง่ายๆ

DID YOU KNOW! ในทางทฤษฎีว่าไว้เมื่อคุณหลับตาสามารถตัดข้อมูลต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์

10. อย่าคาดหมายล่วงหน้า การมัวแต่คิดถึงการนัดหมายสำคัญๆ ในวันรุ่งขึ้น จะทำให้เข้านอนดึกด้วยความกังวลและเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก ทางที่ดีทำใจให้สบายผ่อนคลายให้มากที่สุด บอกตัวเองว่าพักให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้จะดีเอง จากนั้นตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า เพื่อจะได้เตรียมตัวจนมั่นใจ โดยไม่อ่อนเพลีย

11. รู้จัก “เลี่ยง” เมื่อถึงเวลา ในชีวิตการทำงานมักมีหลายเรื่องที่เข้ามากระทบความรู้สึกจนเกิดอารมณ์ แต่แทนที่จะตอบโต้กลับทันทีอย่างขาดสติ จนอาจทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต การเดินหนีไปก่อน รอให้อารมณ์เย็นลงหรืออยู่กับโต๊ะทำงานตัวเองเงียบๆ จัดข้าวของหรือหาอะไรที่ไม่ต้องใช้สมาธิสูงมากทำ ลดความเครียดลงได้จนกว่าคุณพร้อมที่จะกลับมาลุยงานอีกครั้ง

12. สร้างกำลังใจให้ตัวเอง ความผิดพลาดบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้แล้วก็จำเป็นต้องยอมรับแล้วใช้เป็นบท เรียน แต่จงอย่างให้ความผิดพลาดนั้นกลายเป็นสิ่งที่มากดดันให้คุณเครียดจนเกินไป

MUST DO! อย่ามัวคิดถึงสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ควรเปิดใจให้กว้าง และกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาในการ หาทางแก้ไขให้ดีขึ้น

13. คิดในทางบวก จำไว้ว่าการมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน คิดถึงประสบการณ์ดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิตให้บ่อยขึ้น รวมถึงคิดถึงความปรารถนาดีของคนอื่นที่มีต่อคุณก็จะช่วยให้เป็นคนที่เครียด น้อยลงและมีความสุขมากขึ้นได้

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เจงกิส ข่าน Genghis Khan


เจงกิส ข่าน เป็นนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เขาเป็นผู้นำของเผ่ามองโกลเล็กๆ ในเอเชีย และได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ อาณาจักรดังกล่าวประกอบด้วยอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ของรัสเซีย จีน และตะวันออกไกล มองโกลเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนที่ราบของเอเชียกลาง เจงกิส ข่าน เป็นผู้นำของชนเผ่านี้ เขาเกิดใน ปี ค.ศ.1155 เมื่ออายุ 13 ปี เขาได้เริ่มปราบเผ่ามองโกลอื่นๆ จากจีน แล้วรวบรวมชาวมองโกลทั้งหมดเป็นกองทัพที่ทรงพลัง ชื่อจริงๆ ของเขาคือ เตมูจิน แต่ในปี 1206 เขาได้รับการขนานนามว่า เจงกิส ข่าน ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ปกครองนิรันดร" เจงกิส ข่าน เป็นผู้นำทางทหารที่ยิ่งใหญ่ เขาวางแผนที่จะปกครองโลกทั้งโลก และได้รวบรวมชาวมองโกลสู่ศึกแบบทหารจริงๆ กองทัพมองโกลของเขาใช้ธนูเป็นอาวุธ ซึ่งสามารถยิงได้ไกลถึง 183 เมตร หลังจากเขาสิ้นชีวิตในปี ค.ศ.1227 แล้ว ลูกชายของเขาทั้งสี่ก็ได้ปกครองอาณาจักรของเขาสืบต่อมา

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเกิดคลื่นสึนามิครั้งสำคัญๆ ในอดีต



การเกิดคลื่นสึนามิครั้งสำคัญๆ ในอดีต โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา จารุศิริ และศาสตราจารย์กิตติคุณ ไพฑูรย์ พงศะบุตร
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้มีการกล่าวถึงคลื่นขนาดใหญ่ที่เกิดจากภูเขาไฟ ระเบิดในทะเลอีเจียน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อ ประมาณ ๓,๖๐๐ ปีมาแล้ว ในครั้งนั้นปรากฏว่า ภูเขาไฟที่เกาะซานโตรินี (Santorini) ซึ่งปัจจุบันเรียกชื่อว่า เกาะทีรา (Thira) อยู่ทางตอนใต้ของประเทศกรีซ เกิดการปะทุอย่างรุนแรง จนทำให้ตัวเกาะหายไป เกือบหมด และเกิดคลื่นขนาดใหญ่ติดตามมา ทำให้ผู้คนล้มตายและอาคารบ้านเรือน เสียหาย ผลจากพิบัติภัยในครั้งนั้นทำให้วัฒนธรรมมิโนอา (Minoan Culture) ของกลุ่มชนโบราณ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะครีตต้องเสื่อมสลายลง การเกิด คลื่นใหญ่ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการเกิดคลื่นจากแผ่นดินไหว หรือคลื่นสึนา มิ ที่มีการบันทึกไว้เก่าแก่ที่สุด

ในพ.ศ. ๒๓๙๘ ได้เกิดแผ่นดินไหวบริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไอบีเรียในยุโรปตอน ใต้ ส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่เคลื่อนที่เข้าสู่ชายฝั่งของประเทศ โปรตุเกส สเปน และโมร็อกโก มีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวและคลื่นใหญ่ ประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน

วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ภูเขาไฟบนเกาะกรากะตัว (Krakatoa) ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะสุมาตรากับเกาะชวาในช่องแคบซุนดาของประเทศ อินโดนีเซีย ได้เกิดการปะทุอย่างรุนแรง และเกิดคลื่นยักษ์สูงมากกว่า ๓๐ เมตร ซัดเข้าหาฝั่งเกาะสุมาตราและเกาะชวา มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๓๖,๐๐๐ คน ซากปะการัง เศษหิน และวัสดุต่างๆ ถูกคลื่นหอบขึ้นบนฝั่ง หนักประมาณ ๖๐๐ ตัน และหมู่บ้านตามชายฝั่งถูกทำลายเสียหายประมาณ ๑๖๕ แห่ง นับเป็นพิบัติภัยครั้งใหญ่ที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดและคลื่นสึนามิ ใน ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก

วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๙ เกิดคลื่นสึนามิ ชื่อ เมจิซันริจุ (Meiji Sanriju) ที่ประเทศ ญี่ปุ่น เคลื่อนที่เข้าสู่ฝั่งสูงประมาณ ๓๐ เมตร มีผู้เสียชีวิต ประมาณ ๓๗,๐๐๐ คน และบ้านเรือนเสียหายประมาณ ๑๐,๐๐๐ หลัง

วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เกิดแผ่นดินไหวที่บริเวณชายฝั่งของรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา ต่อมาอีกประมาณ ๕ ชั่วโมง คลื่นสึนามิได้เคลื่อนที่ไปถึงเมืองฮีโล (Hilo) บนเกาะฮาวาย ของรัฐฮาวาย ในมหาสมุทรแปซิฟิก คลื่นสูงประมาณ ๖ เมตร ทำลายอาคารบ้านเรือน สะพานรถไฟ และถนนเลียบชายหาดเสียหายเป็นจำนวนมาก มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๑๖๐ คน

วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ เกิดแผ่นดินไหวที่ชายฝั่งของประเทศชิลี ในทวีปอเมริกาใต้ และได้เกิดคลื่น สึนามิแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางในมหาสมุทรแปซิฟิกปรากฏว่าที่รัฐฮาวายของ สหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวถึง ๑๐,๖๐๐ กิโลเมตร ได้รับภัยจากคลื่นสึนามิที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วประมาณ ๗๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตที่เมืองฮีโล ๖๑ คน คลื่นสึนามิยังเคลื่อนตัวต่อไปถึงประเทศญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิต ประมาณ ๑๔๐ คน

วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เกิดคลื่นสึนามิที่ชายฝั่งของประเทศนิการากัว ในอเมริกากลาง ยอดคลื่นสูง ประมาณ ๑๐ เมตร มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๑๗๐ คน และบ้านเรือนเสียหายประมาณ ๑๓,๐๐๐ หลัง

วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เกิดคลื่นสึนามิที่เกาะฟลอเรส ทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย ยอดคลื่นสูง ประมาณ ๒๖ เมตร มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๒,๑๐๐ คน

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เกิดแผ่นดินไหวบริเวณใกล้ชายฝั่งตะวันออกของเกาะนิวกินี ซึ่งอยู่ทางเหนือของทวีปออสเตรเลีย ทำให้เกิดคลื่นสึนามิที่บริเวณชายฝั่ง ของประเทศปาปัวนิวกินี ทำลายป่าชายเลนและอาคารบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก มี ผู้เสียชีวิตที่เมืองไอตาเป (Aitape) ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายฝั่งตอนเหนือของประเทศ ประมาณ ๒๒,๐๐๐ คน

ปรากฏการณ์คลื่นสึนามิที่นำมากล่าวไว้ข้างต้นนี้ เป็นเพียงกรณีตัวอย่างของ การเกิดคลื่นสึนามิครั้งสำคัญๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ยังมีคลื่นสึนามิครั้งย่อยๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะเวลาต่างๆ จากการศึกษาของนักธรณีวิทยาเกี่ยวกับ ความถี่ของการเกิดคลื่นสึนามิในโลกว่ามีบ่อยครั้งเพียงใด ได้มีผลงานของโซโลเวียฟ (Soloviev) ซึ่งจัดพิมพ์เผยแพร่โดยองค์การยูเนสโก สหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้ความเห็นว่าคลื่นสึนามิที่มีความรุนแรงมากมักเกิดขึ้นโดยเฉลี่ย ๑๐ ปีต่อครั้ง ส่วนคลื่นสึนามิที่มีความรุนแรงปานกลางเกิดขึ้น ๑ - ๓ ปีต่อครั้ง และคลื่นสึนามิที่มีความรุนแรงน้อยเกิดขึ้น ๔ - ๘ เดือนต่อครั้ง นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับความถี่ของการเกิดแผ่นดิน ไหวที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิในประเทศอินโดนีเซียทุกๆ คาบ ๑๐ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๕๓ - พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งรายงานว่าในแต่ละคาบ ๑๐ ปี จะมีแผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิระหว่าง ๑ - ๑๒ ครั้ง แต่เมื่อครบรอบทุก ๗๐ ปีครั้งใด จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็น ๑๔ - ๒๑ ครั้งในคาบ ๑๐ ปีนั้น นอกจากนี้การเกิดแผ่นดินไหวจะมีจำนวนครั้งและความรุนแรงทางด้านตะวัน ออกของประเทศอินโดนีเซียมากกว่าทางด้านตะวันตก

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หัวบีทรูทกับสูตรแก้สิวอักเสบ

ปกติ หัวบีทรูทที่ คนรู้จักรับประทานคือนำไปปั่นเป็นน้ำปั่นสีม่วงดื่มคล้ายกับน้ำปั่นหัวแครอต มีคุณค่าทางโภชนาการให้วิตามินซีและวิตามินเอสูง เป็นอาหารให้ไฟเบอร์มาก ทั้งยังมีโปแตสเซียมลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง บำรุงเลือด บำรุงไต ถุงน้ำดี เป็นอาหารล้างพิษ มีสารชื่อ เบทานิน ช่วย รักษามะเร็งระยะแรกเริ่ม ใช้เป็นสีผสมในเครื่องดื่ม มีรสหวาน เป็นส่วนประกอบการทำขนมลูกกวาด และเจลลี่ผลไม้ ต่างๆ ได้อร่อยมาก นอกจากนั้น ยังนิยมใช้ทำเป็น ซุปบีทรูทครีมข้นสลัดผัก หรือหั่นเป็นแว่นบางๆ สอดไส้กลางแฮมเบอร์เกอร์เพิ่มรสชาติเป็นที่นิยมของผู้รับประทานยิ่งนัก

ปัจจุบัน พบว่า หัวบีทรูทนำไปใช้เป็นโภชนาบำบัดช่วยในการรักษาผู้ที่เป็นสิวชนิดมีหนอง หรือสิวอักเสบ น้ำเหลืองเสียได้เด็ดขาดนัก

โดยมีวิธี ทำแบบง่ายๆ คือ เอาหัวสดของ บีทรูทจำนวน 1 หัว ต้มกับน้ำจำนวนตามใจชอบ หรือกะพอประมาณจนเดือด ไม่ต้องเติมอะไรลงไป ดื่มขณะอุ่น หรือจะรับประทานเนื้อด้วยก็ได้ จะช่วยบำบัดอาการสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสียได้ แต่ต้องทำกินบ่อยๆ ไม่ต้องทำกินประจำหรือกินเรื่อยๆ ใจเย็นๆ จะสังเกตเห็นว่าสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสีย จะค่อยๆดีขึ้นและหายได้ ซึ่ง หัวบีทรูทส่วน ใหญ่มีปลูกเป็นพาณิชย์เก็บหัวขายทางภาคเหนือของไทย มีหัวขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ตลาด อ.ต.ก. ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ราคาอยู่ระหว่าง 50-60 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม

หัวบีทรูท (BEETROOT) หรือ BETA YULGSRIS SUBSP VULGSRIS เป็น พืชจำพวกผัก มีหัวใต้ดินเหมือนหัวหอมใหญ่ หัวโตเท่ากำมือผู้ใหญ่ เนื้อฉ่ำน้ำเป็นชั้นๆ สีม่วงเข้ม หรือม่วงอมแดง รสชาติหวาน ต้นและใบเป็นสีม่วงหมด ชาวกรีกโบราณรู้จักนำ หัวบีทรูทกินเป็นอาหารและใช้รักษาอาการท้องผูกมานานกว่า 2 พันปีแล้ว และยังใช้ต้มกินกับเนยเหมือนมันฝรั่งให้คุณค่าทางอาหารดีมาก

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ … รักษา "รองเท้า" ให้เหมือนใหม่


ใคร ที่มีรองเท้าคู่โปรด แล้วอยากให้รักษารองเท้าคู่โปรดดูเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา วันนี้เกร็ดความรู้มีเคล็ดลับการดูแลรักษารองเท้ามาฝากกัน

1. เริ่มแรก ตอนไปซื้อรองเท้า โดยเฉพาะรองเท้าดีมียี่ห้อ ราคาสูง จะสังเกตว่าทางร้านมีที่ยึดรองเท้าใส่ไว้ หรือไม่ก็มีไม้หรือพลาสติกก้านยาวยึดรองเท้าให้ได้รูปทรง ถ้าเจอแบบนี้แล้วอย่าทิ้ง ให้เอากลับมาด้วย แต่ถ้าไม่มีให้ก็ลองถามพนักงานว่ามีขายไหม ลงทุนซื้อมาเองเลย เพื่อรองเท้าจะได้ทรงสวยไปอีกนาน

2. เวลาซื้อรองเท้า เขามักให้กล่องมาด้วย ก็ให้นำกลับมาด้วย เพราะมันจะช่วยเก็บรักษาไม่ให้ฝุ่นเกาะ แต่ถ้าไม่อยากถือให้พะรุงพะรัง ก็จะมีถุงผ้าสำหรับใส่รองเท้า ซึ่งพวกรองเท้ามียี่ห้อมักจะมีให้ในกล่องอยู่แล้ว

3. ตู้ใส่รองเท้า ควรเป็นตู้มิดชิดที่ป้องกันฝุ่นได้ ถ้าไม่เป็นตู้ปิดทึบ เป็นตู้แบบเปิดโล่งก็ได้ แต่ควรมีถุงผ้า ถุงพลาสติก หรือกล่องใส่ก่อนเพื่อกันฝุ่น ซึ่งตู้หรือที่วางรองเท้าควรอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น ถ้าใส่ในตู้ต้องมียากันชื้นไว้ด้วย

4. เมื่อกลับถึงบ้าน ไม่ควรเอารองเท้าเก็บใส่ตู้ในทันที ให้ทิ้งไว้ข้างนอกสักหนึ่งวันแล้วค่อยเก็บในตู้เพราะแต่ละวันที่ใส่รองเท้า อาจมีเหงื่อออกที่เท้าทำให้รองเท้ามีความชื้นต้องปล่อยให้แห้งก่อน แล้วจึงทำความสะอาดรองเท้าก่อนใส่ตู้

5. การดูแลรองเท้าจำพวกหนังมัน ให้ใช้ผ้านุ่มสะอาดเช็ดรองเท้าก่อน เป็นการทำความสะอาดในขั้นแรก จากนั้นจึงใช้ผ้าเนื้อนุ่มอีกผืนป้ายยาขัดรองเท้า ในลักษณะวนเป็นวงๆ ให้ทั่วรองเท้า แล้วใช้แปรงเนื้อนุ่มสำหรับขัดรองเท้า ค่อยๆ ขัดอย่างเบามือแต่รวดเร็ว จะทำให้รองเท้าเงาเหมือนใหม่ สุดท้ายให้ใช้ผ้าสะอาดนุ่มเช็ดเบาๆ อีกครั้ง หรืออาจจะใช้น้ำยาสำหรับเพิ่มความเงาป้ายและขัดเพิ่มให้หนังมีความมันและ ไม่ติดสิ่งสกปรกง่าย

6. รองเท้าหนังกลับ ให้ใช้แปรงขัดรองเท้าปัดเบาๆ ให้ฝุ่นออก แล้วใช้สเปรย์ลำหรับหนังกลับฉีดให้ทั่ว เพื่อหนังจะได้สวยตามเดิม และควรใช้สเปรย์ตามสีของหนังด้วย

7. ควรนำรองเท้าออกมาผึ่งแดดบ้าง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคหากรองเท้าเปียกน้ำมาให้นำไปตากแดดจนเกือบแห้ง แล้วใช้ที่ยึดรองเท้าใส่เข้าไป ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทจึงค่อยเอามาทำความสะอาด วิธีนี้จะช่วยให้รองเท้าไม่เสียทรง

ลองนำเคล็ดลับนี้ไปใช้กับรองเท้าคู่โปรดดู รับรองว่าจะมีรองเท้าคู่โปรดใส่ไปได้อีกนานและยังใหม่อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เหตุใดดาวหางจึงมีหาง

ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ เฟรด วิปเปิล นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้อธิบายว่า ดาวหางมีองค์ประกอบทางเคมีที่ต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะ ดาวหางประกอบด้วยน้ำและแก๊สปริมาณมหาศาล ซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งที่อุณหภูมิต่ำมากและปกคลุมด้วยฝุ่นละอองเหมือนก้อน หิมะที่สกปรก

เมื่อดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ น้ำแข็งจะระเหยกลายเป็นไอ รอบ ๆ ดาวจะเกิดมีเมฆฝุ่นและแก๊ส เมื่อแสงของดวงอาทิตย์ส่องต้องฝุ่นละอองเหล่านี้ก็จะทำให้ดาวหางเรืองแสงนอก จากดวงอาทิตย์จะแผ่ความร้อนออกมาทำให้น้ำแข็งดาวหางระเหยกลายเป็นไอแล้ว ดวงอาทิตย์ยังสร้างลมอ่อน ๆ ที่เรียกว่า ลมสุริยะ (solar wind) แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง ลมสุริยะนี้จะพัดเมฆฝุ่นและแก๊สรอบดาวหางไปทางด้านหลังดาวจนเกิดดาวหาง และนี่คือสาเหตุว่า ทำไมดาวหางจึงมีหางสว่างที่ไม่เคยชี้เข้าหาดวงอาทิตย์เลย

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เจ็บแน่นอก ไม่ใช่แค่อาการเตือน



หัวใจของเราเป็นอวัยวะหนึ่งที่ทำงานหนักที่สุดตลอดชีวิต ดังนั้นหากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเหล่านี้เกิดการตีบ หรืออุดตัน หรือมีการหดตัวอย่างรุนแรงและเป็นเวลานาน ก็จะนำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณนั้นเสียหาย จากการขาดออกซิเจนและสารอาหาร เมื่อนานเข้าก็เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถคืนดีดังเดิมได้ กล้ามเนื้อหัวใจที่ตายจะหยุดทำงาน ผู้ป่วยอาจเกิดหัวใจวายและหากรุนแรงอาจเสียชีวิต

ดังนั้น โรคหัวใจจึงเป็นโรคที่จำเป็นต้องรับการรักษาอย่างรวดเร็วและทันท่วงที เมื่อผู้ป่วยรู้สึกว่า มีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บแปลบบริเวณหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ปวดกรามหรือใจสั่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เบาหวาน, ความดันเลือดสูง, ไขมันในเลือดสูง จึงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์สามารถรักษาโดยการเปิดหลอดเลือดหัวใจได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายน้อยที่สุด เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยเกิดอาการดังกล่าว จึงควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจให้ได้มากที่สุด

การรักษา

ในปัจจุบัน การเปิดหลอดเลือดหัวใจทำได้หลายวิธี ขึ้นกับระยะเวลาที่เป็น, ความพร้อมของสถานบริการ และความรุนแรงของผู้ป่วย โดยวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ ได้แก่

1. การให้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งสามารถให้การรักษาได้ทุกแห่ง ถ้าไม่มีข้อห้ามใช้ยา โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมาถึงแพทย์ ภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากเกิดอาการ และยังให้ผลดีบ้าง ถ้าได้รับยาภายใน 6 ชั่วโมง ปัจจุบันเรามียาละลายลิ่มเลือดตัวใหม่ ชื่อ “ Tenecteplase” ซึ่งเป็นยาละลายลิ่มเลือดที่ออกฤทธิ์เร็ว มีประสิทธิภาพในการเปิดหลอดเลือดได้ดี เมื่อเทียบกับยากลุ่มเดิม สามารถลัดเข้าหลอดเลือดดำทันทีไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทำให้ลดระยะเวลาที่เสียไประหว่างรอการรักษา

2. การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน ร่วมกับการฝังขดลวดค้ำยัน ซึ่งเป็นการรักษาที่ดีและได้ผลรวดเร็ว ซึ่งอาจทำได้เลยตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงหรือมีข้อจำกัดไม่สามารถให้ยาละลายลิ่ม เลือดได้ หรือในกรณีที่ให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่ แต่มีข้อจำกัดที่สถานให้บริการจะต้องพร้อม ทั้งห้องตรวจสวนหัวใจ ทีมแพทย์พยาบาล ที่มีความชำนาญ

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลิปบาล์ม ลิปกลอสเสี่ยงมะเร็ง

ลิปบาล์ม ลิปกลอสเสี่ยงมะเร็ง











ใครที่ใช้ลิปบาล์มหรือลิปกลอสเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่า อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน.... แพทย์โรคผิวหนังในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้ลิปบาล์มหรือลิปกลอสที่มีลักษณะมันวาว ว่า ผลิตภัณฑ์ เหล่านี้มีผลทำให้เกิดการดึงรังสีอัลตร้าไวโอเลตเข้าสู่ร่างกายมากกว่าเดิม จึงทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากกว่าปกติ

ทั้งนี้ พญ.คริสติน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัย เบย์เลอร์ ในเมืองดาลลาส กล่าวเตือนว่า สำ หรับลิปบาล์มหรือลิปกลอสที่มีความเมาวาวนั้น ไม่ได้ใช้ป้องกันการรับรังสีอันตรายจากแสงแดดเลยและที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยิ่งมีผลทำให้เกิดการดูดรังสีต่าง ๆ เข้าไปสู่ริมฝีปากมากขึ้นกว่าปกติอีกด้วย เรียกง่าย ๆ ว่า ลิปบาล์มหรือลิปกลอสชนิดมันวาวนั้นให้ผลในทางตรงกันข้างกับผลของครีมกันแดด ด้วย

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กรด หรือ ด่าง เลือกให้ถูก กินให้เป็น



ในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลได้ค้นพบว่า หากร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เราอาจล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคพยาธิติดเชื้อ เบาหวาน ฯลฯ

ปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายดูดซึม สามารถวัดได้ด้วยค่า pH ซึ่งมีระดับตั้งแต่ 0 ถึง 14 หากวัดได้ที่ค่า 0 หมายถึง เลือดมีความเป็นกรดสูง และไล่ไปจนถึงค่า pH ที่ 14 หมายถึง เลือดมีความเป็นด่างสูง ซึ่งระดับที่ร่างกายมีความสมดุลของกรดด่าง และออกซิเจนจะอยู่ที่ประมาณ 7.365 ค่อนไปทางความเป็นด่างเล็กน้อย และหากค่า pH สูง หรือต่ำจนเกินไป คุณจะรู้สึกไม่สบาย เหนื่อยล้า น้ำหนักขึ้น ท้องผูก และปวดเมื่อย

ผู้คนส่วนใหญ่ในแถบอเมริกาและยุโรป จะมีร่างกายที่มีความเป็นกรดมากกว่าด่าง เพราะอาหารที่บริโภคและการใช้ชีวิต จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนได้เพียงพอ ทำให้เราสามารถพบเห็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในกลุ่มประเทศแถบนี้

4 สาเหตุหลัก ที่ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดสูง ได้แก่ ความเครียด สารพิษ เชื้อโรค และอาหารที่เรารับประทาน

อาหารที่มีความเป็นกรด

อาหารโดยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของเรา โดยมากจะมีค่าเป็นกรด ซึ่งอาหารเหล่านี้จะทำให้เราป่วยและเหนื่อยง่าย และน่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารสุดโปรดของเราทั้งนั้น เช่น

• ฟาสต์ฟู้ด
• น้ำตาล
• ชา กาแฟ
• เนื้อสัตว์
• แป้ง
• ผลไม้รสหวาน
• เดลี่โปรดักส์
• ไขมัน
• ถั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์

อาหารที่มีความเป็นด่าง

อาหารที่มีความเป็นด่างสูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดให้คุณ การรับประทานอาหารที่มีค่าเป็นด่าง จะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ อาหารนั้นได้แก่

• ผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักใบเขียว
• สลัด ที่ได้มาจากผักจำพวกผักกาด ผักขม ขึ้นฉ่ายยักษ์ แตงกวา อะโวคาโด เป็นต้น
• เครื่องเทศ เช่น โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ขิง
• ผลไม้ จำพวก แตงโม อะโวคาโด แตงกวา มะพร้าวอ่อน
• Wheat Grass
• กล้าหรือยอดผักต่างๆ เช่น หัวแอลฟัลฟา ถั่ว บรอกโคลี

ส่วนน้ำดื่มที่ดีที่สุดก็จะเป็นน้ำเปล่าที่มีค่าความเป็นด่าง น้ำผัก และน้ำ Wheat Grass ถ้าร่างกายของเรามีค่าความเป็นกรด เราก็ควรที่จะรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีค่าความเป็นด่าง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบในร่างกาย

กล่าวโดยรวมคือ การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างนั้น จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นจากภายใน ทำให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยความสดใสและมั่นใจ

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553



การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โดย นายแพทย์อวย เกตุสิงห์
การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเราไม่ออกกำลังหรือออกกำลังไม่พอ ร่างกายก็ผิดปกติ หย่อนสมรรถภาพ บางครั้งถึงกับเป็นโรค ผู้ที่เป็นโรคเพราะเหตุดังนี้ หากได้ออกกำลังก็หายได้ ดังนั้น จึงเปรียบการออกกำลังว่าเป็นอาหารก็ได้ เป็นยาก็ได้
การออกกำลังในที่นี้ หมายความถึงการให้กล้ามเนื้อทำงานเพื่อประโยชน์ต่างๆ เช่น การประกอบอาชีพ การทำงานอดิเรก หรือแม้การเล่นสนุก อีกคำหนึ่งที่มีความหมายเกี่ยวข้องกันคือ "กีฬา" หมายความถึงการออกกำลังที่เป็นการเล่นอย่างมีระเบียบหรือกฎเกณฑ์ เช่น แบดมินตัน ฟุตบอล รวมทั้งไม้หึ่งหรือตี่จับด้วย การกระโดดโลดเต้นไปตามเรื่องไม่ควรจะเรียกว่ากีฬา เป็นแต่เพียงการเล่น โดยเหตุผลทำนองเดียวกับการตักน้ำรดต้นไม้ก็ไม่ใช่กีฬา แต่ถ้ามีการแข่งขันตักน้ำใส่ตุ่ม ก็นับว่าเป็นกีฬาได้ เพราะจะมีกฎเกณฑ์และกำหนดเวลา ปัจจุบันนี้นิยมใช้คำว่า "กีฬา" สำหรับการใช้กำลังกายเพื่อประโยชน์อื่นๆ นอกจากงานอาชีพหรืองานประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้สำหรับการออกกำลังกายเพื่อประโยชน์เกี่ยว กับการบริหาร กาย การเล่นสนุก และการแข่งขัน ชื่อของบทความนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้คำ "กีฬา" ตามความหมายในปัจจุบัน


ปฏิกิริยาและการปรับตัวของร่างกายต่อการออกกำลัง
การออกกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในร่างกาย เรียกว่า "ปฏิกิริยา" ซึ่งมีลักษณะและ ความรุนแรงต่างไปตามความหนักหน่วงของการออกกำลัง เมื่อเลิกออกกำลัง ปฏิกิริยาก็จะหายไป ถ้าออกกำลังซ้ำบ่อยๆ จะเกิด "การปรับตัว" ขึ้นในร่างกายทำให้สมรรถภาพเพิ่มขึ้นและปฏิกิริยามีความรุนแรงน้อยลง แม้จะออกกำลังหนักเท่าเดิม ตัวอย่างเช่น ในการวิ่งเหยาะ ผู้ที่วิ่งเป็นครั้งแรกอาจวิ่งได้เพียง ๕๐๐ เมตรก็เหนื่อย มีอาการหายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว ปวดเมื่อยขา ฯลฯ จนในที่สุดต้องหยุด อาการที่กล่าวนี้เป็นปฏิกิริยาซึ่งเกิดตั้งแต่เริ่มวิ่ง และเพิ่มความรุนแรงขึ้นไปตามปริมาณของการออกกำลัง จนทำต่อไปไม่ไหวถ้าออกกำลังเช่นที่กล่าวนี้บ่อยๆ โดยไม่ทิ้งระยะนานนักจะพบว่าการวิ่งระยะเท่าเดิม (๕๐๐ เมตร) ทำให้เหนื่อยน้อยลงตามลำดับ จนในที่สุดอาจวิ่งไกลออกไปถึง ๘๐๐หรือ ๙๐๐ เมตร นี้คือผลของการปรับตัว
ปฏิกิริยาต่อการออกกำลังกายเกิดขึ้นในหลาย ส่วนและมีลักษณะต่างๆ กัน จะกล่าวถึงเฉพาะที่สำคัญๆ
๑. กล้ามเนื้อ การออกกำลังทุกครั้งต้องอาศัยกล้ามเนื้อหดตัวดึงกระดูกซึ่งประกอบเป็นแขนขา และส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง อาจมีการเคลื่อนไหวของส่วนนั้นๆ เรียกว่า การออกกำลังแบบเคลื่อนไหว (isotonic)หรือไม่มีก็ได้เรียกว่า การออกกำลังแบบเกร็งกล้าม(isometric) การหดตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นโดยมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในกล้ามเนื้อนั้น เอง คือ สารชื่ออะดีโนซีนไทรฟอสเฟต (adenosine triphospate) สลายตัวเป็นอะดีโนซีนไดฟอสเฟต (adenosine diphosphate) หลังจากกล้ามเนื้อหดตัวแล้วมีการกลับสังเคราะห์อะดีโนซีนไทรฟอสเฟตขึ้น ใหม่ โดยขบวนการที่สลับซับ-ซ้อนซึ่งรวมการ "เผา" (ออกซิไดซ์) กลูโคส เพื่อให้เกิดพลังงานสำหรับการสังเคราะห์สารที่เกี่ยวข้อง กล้ามเนื้อมีกลูโคสสะสมไว้ในปริมาณจำกัด ดังนั้น หากหดตัวติดต่อไปเป็นเวลานาน ก็จำต้องได้รับมาเพิ่มเติม เลือดนำกลูโคสมาจากตับซึ่งมีไกลโคเจน เก็บไว้เพื่อแปรเป็น กลูโคสเมื่อมีความต้องการ เมื่อกล้ามเนื้อหดตัว หลอดเลือดภายในนั้นจะขยายให้เลือดไหลมากขึ้น นำกลูโคสและออกซิเจนมาส่งเพิ่มขึ้น และนำ คาร์บอนไดออกไซด์ และกรดต่างๆ ตลอดจนความร้อนที่เกิดขึ้นนำไปปล่อยที่ปอด ที่ไต และที่ผิวหนังตามลำดับ ที่กล่าวมานี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ
หากกล้ามเนื้อถูกใช้ให้ทำงานหนักบ่อยๆ ก็จะปรับตัวโดยเพิ่มขนาด (บางครั้งไม่เพิ่มจำนวนด้วย)ของเส้นใยในตัวมัน ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแรงมากขึ้น ดังที่ทราบกันโดยทั่วไป ถ้าหากในการออกกำลังครั้งหนึ่งๆ กล้ามเนื้อต้องทำงานซ้ำติดต่อไปเป็นเวลานาน ก็จะมีการปรับตัวในด้านความอดทนอีกด้วย
๒. หัวใจและหลอดเลือด เมื่อมีการออกกำลัง หัวใจจะได้รับการกระตุ้นทางระบบประสาทให้เต้นเร็วและแรงขึ้น สูบฉีดเลือดได้ปริมาณมากขึ้น หากต้องทำการเช่นนี้บ่อยๆ หัวใจก็จะปรับตัวโดยเพิ่มขนาดของเส้นใย (แบบเดียวกับกล้ามเนื้อแขนขา) ทำให้ผนังห้องหัวใจหนา มีแรงสูบฉีดและกำลังสำรองมากขึ้นขณะเดียวกันหลอดเลือดแดงซึ่งรับเลือดไปจาก หัวใจต้องรับเลือดในปริมาณเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่หัวใจเต้น เท่ากับถูกบังคับให้ออกกำลัง ทำให้มีความยืดหยุ่นดีและเกิดอาการแข็งกระด้างน้อยลง ทั้งสองประการนี้ทำให้เลือดไหลได้สะดวกและความดันเลือดไม่ขึ้นสูงมาก
๓. ปอดและการหายใจ ในการหายใจตามปกติ "ศูนย์หายใจ" ซึ่งอยู่ในส่วน "ท้ายสมอง " (medulla oblongata) สั่งการให้กล้ามเนื้อซี่โครงและกะบังลมหดตัว ทำให้ทรวงอกขยาย อากาศภายนอกดันผ่านจมูกหลอดลมคอ และหลอดลมปอดเข้าไปในถุงลม เป็นโอกาสให้ออกซิเจนในอากาศผ่านเข้าไปในเลือดในผนังของถุงลม ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดผ่านสวนทางมาสู่อากาศในถุงลม นั่นคือการหายใจเข้า เมื่ออากาศตันถุงลมพองถึงขนาด ศูนย์หายใจจะหยุดทำงาน กล้ามเนื้อซี่โครงและกะบังลมหย่อนตัวทรวงอกยุบ บีบอากาศออกมาจากถุงลมสู่ภายนอกนั้นคือการหายใจออก เมื่อออกกำลังศูนย์หายใจจะได้รับการกระตุ้นแรงกว่าปกติ การหายใจเข้าแรง เร็วหรือลึก หรือทั้งสองอย่างมากกว่าธรรมดา การหายใจออกก็เปลี่ยนตามไปด้วย ยิ่งออกกำลังหนักเท่าไร การหายใจก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งถึงขีดที่เรียกว่า "หายใจหอบ" ซึ่งแสดงถึงความเหนื่อย หากออกแรงหนักขึ้นๆ อาการหอบเพิ่มมากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ศูนย์หายใจทำการเพิ่มต่อไปไม่ไหว การออกกำลังก็ต้องหยุดลง
ถ้าหากมีการออกกำลังหนักเสมอๆ กล้ามเนื้อหายใจจะเพิ่มความแข็งแรงและอดทนขึ้น พร้อมกับศูนย์หายใจอดทนต่อ การกระตุ้นมากขึ้น ทั้งสองอย่างนี้ช่วยให้สามารถหายใจหอบได้มากและนานขึ้น ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวซึ่งช่วยให้สามารถทำการได้ด้วยความอดทนมาก ขึ้น
๔. ระบบประสาท การออกกำลังเกิดขึ้นเพราะสมองสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อกล้ามเนื้อทำงานไปเรื่อยๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประสาทและเคมีย้อนไป "กด" ศูนย์สั่งการในสมองมากขึ้นๆ โดยลำดับในที่สุดเมื่อออกกำลังกายเหนื่อยถึงขีดหนึ่ง (ซึ่งขึ้นอยู่กับความเคยชินต่อการออกกำลัง) ศูนย์สั่งการก็ถูกกดจนต้องหยุดทำงานคือ ถึงระยะ "เหนื่อยจนหมดแรง"(ซึ่งที่จริง "แรง" ยังมีแต่สมองไม่สั่งการ)
ถ้าออกกำลังเสมอๆ ศูนย์สั่งการจะปรับตัวโดยมีความอดทนต่อการกดมากขึ้น ทำให้สามารถทำงานได้นานออกไปกว่าเคย และการออกกำลังกายดำเนินไปด้วยความอดทนมากขึ้น
ในร่างกายยังมีระบบประสาทอีกระบบหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในบังคับของจิตใจ เรียกว่า ระบบประสาทเสรีซึ่งทำการโดยอิสระเพื่อช่วยเหลืออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในการปรับการงานให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และความต้องการของส่วนต่างๆ ในร่างกาย เช่น บังคับให้หัวใจเต้นเร็วหรือช้า ให้หลอดเลือดและหลอดลมภายในปอดขยายหรือบีบ ให้เหงื่อหลั่งมากหรือน้อยเป็นต้น การออกกำลังทุกครั้งเป็นการกระตุ้น และ"การฝึก" ประสาทเสรี เมื่อทำการออกกำลังบ่อยๆ ก็มีการกระตุ้นบ่อยๆ เร่งให้ระบบประสาทเสรีปรับตัวให้ทำงานได้ว่องไวและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
๕. ระบบและส่วนอื่นๆ การออกกำลังอย่างค่อนข้าง หนักและอย่างหนัก ย่อมทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างมากในร่างกาย นอกจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีที่ควรทราบอีกดังต่อไปนี้
๕.๑ กระดูกที่ถูกกล้ามเนื้อดึงจะมีผิวหนาและแข็งแรงขึ้น ในเด็ก กระดูกบางชิ้นจะยาวขึ้นด้วย ทำให้ร่างกายสูงใหญ่
๕.๒ เลือดจะมีสีเม็ดเลือด (เฮโมโกลบิน) และจำนวนเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ปริมาตรเลือดสำรองที่เก็บไว้ในม้ามและที่อื่นๆ จะมากขึ้น
๕.๓ ต่อมน้ำเลี้ยงภายในที่หลั่งฮอร์โมนบางอย่าง เช่น ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง (พิทูอิทารี) ถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้น ทำให้เกิดผลเสมือนฉีดฮอร์โมนนั้นๆ เข้าในร่างกาย
๕.๔ มีการสะสมสารเคมีบางอย่างไว้สำหรับใช้ระหว่างการออกกำลัง เช่น กลูโคส เก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ อะดีโนซีนไทรฟอสเฟต เก็บไว้ที่กล้ามเนื้อ วิตามินซี เก็บไว้ในต่อมหมวกไต เป็นต้น
๕.๕ ระบบควบคุมอุณหภูมิกายจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถกำจัดความร้อนที่เกิดจากการทำงานออกไปได้รวดเร็ว ร่างกายร้อนช้าลง ช่วยให้สามารถออกกำลังด้วยความอดทนมากขึ้น
[กลับหัวข้อหลัก]











การออกกำลังกายที่พอเหมาะ น้อยไป และมากไป
ถ้าเรากินอาหารน้อยไปเราก็หิว ถ้ากินมากไปก็ท้องอืด ต้องกินพอดีๆ จึงจะสบาย การออกกำลังก็เช่นเดียวกัน ถ้าทำน้อยไปก็ไม่ได้ผล ทำมากไปก็มีโทษ ต้องทำให้พอเหมาะจึงจะได้ประโยชน์ที่ต้องการดังนั้น จึงควรทราบว่าเมื่อไรออกกำลังพอแล้ว ต่อไปนี้ เป็นวิธีง่ายๆ สำหรับใช้กับตัวเองหรือแนะนำผู้อื่นในเวลาออกกำลัง
๑. อาการเมื่อย เหมาะสำหรับใช้กับกายบริหาร กำหนดดูว่าส่วนที่กำลังใช้อยู่นั้นเริ่มมีอาการเมื่อยเมื่อใด (ตัวอย่างเช่น เริ่มเมื่อยเมื่อ "ชกลม" ได้ ๑๐ ครั้ง) ลองทำต่อไปอีกประมาณ ๑ ใน ๔ หรือ ๑ ใน ๕ ของที่ทำแล้ว จึงหยุด สังเกตว่าอาการเมื่อยที่เกิดแต่ต้นนั้นจะคงอยู่ต่อไปอีกนานสักเท่าใด ถ้าหายไปในเวลาสองสามชั่วโมง แสดงว่าที่ทำแล้วยังไม่พอ ควรจะเพิ่มได้อีก ถ้าหายภายใน ๒๔ ชั่วโมง แสดงว่าพอเหมาะแล้ว ถ้ายังเมื่อยอยู่เกิน ๓๖ ชั่วโมง แสดงว่าที่ทำนั้นมากเกินควร ครั้งต่อไป ต้องลดลง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มออกกำลัง จะได้ทราบความสามารถของ ตัว เมื่อกำหนดได้แล้วก็ออกกำลังไปตามนั้น ภายในระยะหนึ่งจะสังเกตว่า เมื่อยน้อยลง หรือไม่เมื่อยเลยนี้แปลว่าร่างกายมีสมรรถภาพสูงขึ้นแล้ว ถ้าต้องการให้เพิ่มขึ้นอีกก็ต้องออกกำลังให้มากขึ้น โดยลองสังเกต เช่นในครั้งแรก ทำเป็นขั้นๆ ไปเช่นนี้จนได้ผลที่ต้องการ
ข้อพึงจำคือหากออกกำลังเป็นประจำจนสมรรถภาพสูงขึ้นแล้ว ถ้าเว้นว่างไปเสีย สมรรถภาพจะลดลง ภายในหนึ่งสัปดาห์สมรรถภาพที่สูงขึ้นจะกลับลดลงไปประมาณร้อยละ ๓๐ และหมดสิ้นไปภายในสามสัปดาห์ ข้อนี้จะต้องระลึกถึงเมื่อกลับเริ่มออกกำลังใหม่ จะออกมากหรือหนักเท่าที่เคยไม่ได้ แต่ต้องลดน้อยลงตามส่วน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นใหม่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันผลร้ายของการออกกำลังเกิน
เช่นที่เคยเกิดขึ้นกับนักกีฬาเก่งๆ ที่เว้นว่างกายฝึกซ้อมไปนาน เมื่อกลับมาเล่นใหม่ก็เล่นเต็มที่เหมือนเคยลืมนึกถึงความเสื่อมที่ได้เกิด ขึ้นในระหว่างที่ไม่ได้เล่นผลร้ายอาจมีตั้งแต่การบาดเจ็บน้อยหรือมากไปจนถึง กับอันตรายหนัก
๒. อาการเหนื่อย วิธีนี้เหมาะสำหรับการออกกำลังประเภทอดทน เช่น วิ่งเหยาะ (วิ่งช้าๆ เพื่อให้ได้ระยะทางมาก) สังเกตว่าวิ่งไปได้ระยะไกลหรือระยะเวลาประมาณเท่าใดจึงเริ่มมีอาการหอบ ปานกลางจะประมาณจากความรู้สึกว่าเหนื่อยค่อนข้างมากก็ได้หรือจะนับจำนวน ครั้งที่หายใจใน ๑ นาทีก็ได้ สำหรับวิธีหลังนี้ต้องนับไว้ก่อนว่าเวลาอยู่เฉยๆ หายใจนาทีละกี่ครั้ง
(หายใจเข้า ๑ ที หายใจออก ๑ ที นับเป็น ๑ ครั้ง)สมมติว่า ๒๐ ครั้ง เมื่อออกกำลังไปจนรู้สึกเหนื่อยค่อนข้างมากก็ลองนับดูใหม่ ถ้าการหายใจเพิ่มขึ้นไปเป็น ๒๖ หรือ ๒๘ ครั้งต่อนาที (คือเพิ่มร้อยละ ๓๐-๔๐) ก็ควรจะหยุดได้ ตัวเลขที่แสดงนี้เป็นเพียงตัวอย่างให้เข้าใจเท่านั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน ข้อสำคัญที่สุดคือความรู้สึกว่า "เหนื่อยค่อนข้างมากแล้ว"
โดยทำนองเดียวกับในข้อที่แล้ว หากออกกำลังซ้ำไปๆ อาการเหนื่อยจะเกิดช้าเข้าและจะสามารถออกกำลังได้นานหรือมากขึ้นกว่าเดิม เป็นผลของการปรับตัวและการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
๓. อัตราชีพจร ผู้ที่สนใจการออกกำลังอย่างจริงจังควรนับชีพจรของตนเอง อาจนับที่ข้อมือหรือที่คอก็ได้ วิธีแรกใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางกดปลายลงไปในร่องข้างเอ็นข้อมือทางด้านโคนนิ้วหัวแม่มือ (ของอีกมือหนึ่ง) ขยับจนรู้สึกการเต้นของหลอดเลือดเป็นจังหวะ ถือนาฬิกาที่มีเข็มวินาทีไว้ในมือที่ถูกคลำ (หรือสวมไว้ในมือที่ใช้คลำ) นับการเต้นของชีพจรตามไปขณะที่ตาดูนาฬิกา นับชั่ว ๑๐ วินาทีแล้วคูณด้วย ๖ เป็นอัตราใน ๑ นาทีก็ได้ (วิธีนี้ไม่แม่นทีเดียว แต่ดีพอสำหรับการกีฬา)
วิธีนับชีพจรที่คอ เหมาะสำหรับผู้ไม่ชำนาญเพราะหาหลอดเลือดได้ง่าย ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางค่อยๆ กดลงไปที่ข้างลูกกระเดือกจนรู้สึกการเต้นของหลอดเลือด (อย่ากดหนักเกินจำเป็น) นับแบบเดียวกับที่ข้อมือ
๔. ผลตามหลัง ผู้ที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อน หลังจากออกกำลังครั้งแรก อาจมีอาการปวดข้อดึงกล้ามเนื้อหรือปวดกล้ามเนื้อด้วยในวันเดียวกันนั้นหรือ วันรุ่งขึ้น และอาจเป็นอยู่ต่อไปอีกหนึ่งหรือสองวันเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าอาการยังอยู่เกินสองวันควรสงสัยว่าการออกกำลังที่ได้ทำนั้นอาจจะมาก เกินไปครั้งต่อไปควรทำให้น้อยลง
[กลับหัวข้อหลัก]




การออกกำลังน้อยไป
การออกกำลังน้อยไป หมายความว่าออกกำลังแล้วไม่ได้ผลที่ต้องการ เช่น ร่างกายไม่แข็งแรง หรือไม่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น การออกกำลังน้อยไปไม่ให้ผลร้าย เหมือนกับการออกกำลังมากไป เพียงแต่ทำให้ผิดหวังและเสียเวลา ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อออกกำลังน้อย ปฏิกิริยาของร่างกายก็มีน้อยหรือเบาหรืออ่อนไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการ ปรับตัว หากได้ออกกำลังไปแล้วหลายวัน ไม่รู้สึกหรือสังเกตไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงร่างกายดีขึ้นหรือ แข็งแรงขึ้น ควรสงสัยว่าออกกำลังไม่พอ ควรลองเพิ่มความหนักหรือความบ่อยของการออกกำลังขึ้น จนสังเกตได้ว่ามีผลดังที่ต้องการ
จากที่ได้บรรยายมานี้คงจะเข้าใจได้แล้วว่าผลดีของการออกกำลังนั้น เกิดจากการปรับตัวของร่างกายที่อวัยวะส่วนที่เกี่ยวข้องเช่น กล้ามเนื้อ หัวใจ และต่อมน้ำเลี้ยงภายใน เป็นต้น การปรับตัวบ่อยๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นๆ กลายเป็นการพัฒนาส่วนนั้นๆ ให้เพิ่มขนาดหรือความสามารถขึ้น มีกำลังสำรองมากขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อออกกำลังมากเกินไป ผลร้ายเพียงส่วนน้อยอาจเกิดจากการปรับตัวจนเกินขีด ส่วนใหญ่เกิดจากความบุบสลายหรืออันตรายต่ออวัยวะ เช่น กล้ามเนื้อ เอ็น พังผืดข้อกระดูก และเยื่อหุ้มข้อ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสาเหตุของอาการต่างๆ ที่กล่าวแล้วซึ่งมักไม่รุนแรงมาก แต่การปรับตัวจนเกินความสามารถหรือเกินกำลังสำรอง มักเป็นผลของการออกกำลังเกินสมควรอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่ออวัยวะที่เกี่ยวข้องมีสภาพไม่ค่อยปกติอยู่ก่อน แล้ว อวัยวะที่มีความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องนี้คือหัวใจ



วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

FIFA World Cup


ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโลกฟีฟ่า (FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศโดยทีมฟุตบอลชายร่วมเข้าแข่ง จัดการแข่งขันโดยฟีฟ่า (ฟีฟ่ายังคงเป็นผู้จัด ฟุตบอลโลกหญิงเช่นกัน) ฟุตบอลโลกเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2473 ใน ฟุตบอลโลก 1930 และจัดต่อเนื่องมาทุก 4 ปี ยกเว้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1942, 1946)

ภายหลังจากการแข่งขันรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะประกอบด้วยทีมชาติ 32 ทีม (เพิ่มจาก 24 ทีมเป็น 32 ทีมใน ฟุตบอลโลก 1998) ร่วมแข่งขันกันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน และได้ชื่อว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยใน ฟุตบอลโลก 2002 มีสถิติผู้ชมประมาณ 1,100 ล้านคนทั่วโลก

เมื่อจบการแข่งขันจะมีการมอบรางวัลต่างๆ สำหรับนักฟุตบอลยอดเยี่ยม

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งต่อไป ฟุตบอลโลก 2010 จะถูกจัดขึ้นที่ ประเทศแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2553 และฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล ในปี พ.ศ. 2557


ผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลก

1. ฟุตบอลทีมชาติบราซิล - 1958, 1962, 1970, 1994, 2002 (5 ครั้ง)
2. ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี - 1934, 1938, 1982, 2006(4 ครั้ง)
3. ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี - 1954, 1974, 1990 (3 ครั้ง)
4. ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา - 1978, 1986 (2 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติ อุรุกวัย - 1930, 1950 (2 ครั้ง)
5. ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ - 1966 (1 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส - 1998 (1 ครั้ง)

รางวัลฟุตบอลโลก

เมื่อจบการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในแต่ละปี จะมีการจัดรางวัลให้กับทีมและผู้เล่นในด้านต่างๆ ในปัจจุบันมีอยู่ 6 รางวัล

* รองเท้าทองคำ (Golden Shoe) รางวัลสำหรับผู้ทำประตูรวมสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ชื่อเดิมว่า บู้ตทองคำ (Golden Boot) เริ่มมีตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 1930 และตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 1982 ได้มี อาดิดาสเป็นผู้สนับสนุน และใช้ชื่อรางวัลว่า "อาดิดาสรองเท้าทองคำ"

* บอลทองคำ (Golden Ball) หรือ อาดิดาสบอลทองคำ รางวัลสำหรับผู้เล่นยอดเยี่ยม เริ่มมีครั้งแรกเมื่อ ฟุตบอลโลก 1982

* รางวัลยาชิน (Yashin Award) รางวัลสำหรับผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม เริ่มมีครั้งแรกเมื่อ ฟุตบอลโลก 1994

* รางวัลทีมที่เล่นขาวสะอาด (FIFA Fair Play Award) รางวัลสำหรับทีมที่เล่นได้อย่างยุติธรรม เริ่มมีครั้งแรกเมื่อ ฟุตบอลโลก 1978

* รางวัลทีมที่น่าสนใจ (Most Entertaining Team) รางวัลสำหรับทีมที่เล่นได้น่าสนใจต่อประชาชน คัดเลือกจากโพลเริ่มมีครั้งแรกเมื่อ ฟุตบอลโลก 1994

* รางวัลเยาวชนยอดเยี่ยม (Best Young Player) (ปัจจุบันชื่อโฆษณาว่า ยิลเลต) รางวัลสำหรับนักฟุตบอลอายุต่ำกว่า 21 ปีที่มีความสามารถโดดเด่น เริ่มมีครั้งแรกใน ฟุตบอลโลก 2006

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาหารป้องกันสิว



สิว เกิดจากความผิดปกติของต่อมไขมันที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเกิดบนใบหน้า ในบางกรณีจะเกิดบน หลัง ไหล่ หน้าอก และแขน สิวจะพบมากในวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมน ไปกระตุ้นการหลั่งของต่อมไขมัน

ความเครียด นับเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว สารอาหารต่างๆ ที่ช่วยลดความเครียดจึงมีความสำคัญต่อการช่วยลดการเกิดสิวได้ การได้รับอาหารถูกต้อง ตามหลักโภชนาการและรักษาผิวหนังให้สะอาดเป็นประจำ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ และได้รับแสงแดดบ้างจะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้

สำหรับเรื่องอาหาร พบว่า มีการใช้สารอาหารบางชนิดในการป้องกันและรักษาสิว เช่น วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินอี แร่ธาตุ เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม โครเมียม กำมะถันและสังกะสี ทั้งในรูปของการกิน และการใช้ทาภายนอก สารอาหารดังกล่าวพบได้ในอาหารทั่วไป ดังนั้น เพื่อเป็น การป้องกันสิว วัยรุ่นควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และให้มีความหลากหลายในแต่ละหมู่ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะสังกะสี ซึ่งมีมากใน ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ ไข่ และ ตับ เพราะสังกะสีเป็นสารจำเป็นสำหรับการทำงานของต่อมไขมันและสามารถยับยั้งการ เจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น การกินอาหารที่ให้วิตามินและแร่ธาตุเพียงพอ ร่วมกับการปฏิบัติอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นจะช่วยป้องกันสิวได้


วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันอานันทมหิดล



พระราชประวัติ

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมัน ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่สอง ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อพระชนมายุ ๓ พรรษา ได้เสด็จกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี โดยเสด็จประทับ ณ วังสระปทุม ในปีต่อมาได้ทรงศึกษาชั้นอนุบาล ณ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย แล้วจึงเสด็จไปประทับต่อ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.๒๔๗๕ ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ สภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลในขณะนั้นมีมติเห็นชอบให้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นครองราชย์สืบราชสันติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่๘ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล" เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา จึงต้องทรงมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้แก่ พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา และเจ้าพระยายมราช ทำการบริหารแผ่นดินแทนจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกหลักจากขึ้นครองราชย์ ซึ่งขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา ตลอดระยะเวลา๒ เดือน ที่ทรงเสด็จประทับอยู่ในเมืองไทย ได้ทรงออกเยี่ยมราษฎรในที่ต่างๆ จากนั้นพระองค์ทรงเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ การคมนาคมติดต่อเป็นไปโดยลำบาก พระองค์ท่านจึงไม่ทรงมีโอกาสติดต่อกับประเทศไทย เมื่อสงครามสงบ พระองค์จึงเสด็จนิวัติกลับประเทศไทยอีกครั้ง เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๘ ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๒๑ พรรษา ในการเสด็จนิวัตเมืองไทยครั้งนี้ เดิมทรงตั้งพระราชหฤทัยจะประทับอยู่ในเมืองไทยเพียง ๑ เดือน จากนั้นจะเสด็จพระราชดำเนินกลับสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้ทันการเปิดภาคเรียนใหม่ในกลางเดือนมกราคม แต่เนื่องจากทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายในฐานะประมุขของประเทศ ทำให้ทรงเลื่อนเวลาที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับสวิตเซอร์แลนด์ออกไป

ระหว่างที่พระองค์ประทับอยู่ในพระนคร เมื่อคราวเสด็จนิวัติเมืองไทยครั้งที่ ๒ นั้น พระองค์เสด็จสวรรคต เนื่องจากถูกพระแสงปืน ณ พระแท่นบรรทมในพระที่นั่งบรมพิมาน เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ หลังจากเสวยราชสมบัติอยู่เป็น เวลา ๑๒ ปีเท่านั้น

ปวงชนชาวไทยต่างรำลึกถึงพระเมตตาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณ อันมีเป็นอเนกประการจึงร่วมใจน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน โดยถือเอาวันที่ ๙ มิถุนายนของทุกปี เป็น "วันอานันทมหิดล" ในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ สมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาลงกรณ์ ได้รวบรวมทุนจากเงินบริจาคของศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ ทุกรุ่นจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นไว้หน้าตึกอานันทมหิดล คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงบันดาลให้เกิดคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศให้ประชาชนได้รำลึกถึงพระองค์ท่านสืบไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อตั้ง "มูลนิธิอานันทมหิดล" ขึ้น เพื่อสนับสนุนนักเรียนไทยผู้มีความสามารถทางวิชาการอย่างยอดเยี่ยม มีคุณธรรมสูง ได้มีโอกาสไปศึกษาวิทยาการจนถึงขั้นสูงสุดในต่างประเทศ เพื่อนำความรู้กลับมาทำคุณประโยชน์พัฒนาบ้านเมืองให้ก้าวหน้าต่อไป โดยมูลนิธินี้ไม่มีการสอบคัดเลือก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะสรรหาผู้สมควรได้รับพระราชทานทุน นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยชี้ขาด

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

7 สูตรสำเร็จเพิ่มความฉลาด




ใครที่รู้สึกว่าสมองอ่อนล้า เฉื่อย ชา และความจำถดถอย เรามีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำให้กับสมองมาฝาก...

1. บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อย เท่า ไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง

2. กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจาก การกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดี ขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้ เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ให้มากขึ้นได้

3. กินผักและผลไม้สด
เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่สูงในผักและผลไม้สดจะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากการสะสมเป็น เวลานอนของเนื้อเยื่อไขมันอันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และ ช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ อาทิ ผมไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้น สูงที่เรียกว่า Anthocyanidin

4. ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อย สาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่ง ไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์ณ์หรือ เรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย

5. ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อน ไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่ เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย

6. จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรา นั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความ สามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้าย ข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่าง ในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

7. ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความ ถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิด ขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผล ให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิด ให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับ ตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จาก นั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ถอดรหัส12นักษัตร' โดยซินแสโจ้ วันที่ 07 มิ.ย.-14 มิ.ย. 2553

Pic_87779

ดวงชะตาราศีประจำสัปดาห์นี้ของท่านจะเป็นอย่างไร มาดูคำทำนายทั้ง 12 ราศี กันดีกว่าครับ...


อยู่ในรอบเดือนที่ไม่ดี หรือในตามหลักโหราศาสตร์จีนเรียกว่า เดือนชง (ศัตรู, ปฏิปักษ์) อะไร ๆ ก็ต้องทำใจ เอาเถอะครับ อยู่ที่ตนเอง เกิดอะไรขึ้น ถ้าควบคุมตนเอง และสติให้อยู่ ก็จะเห็นปัญหา แต่ถ้าใช้อารมณ์ก็จะถูกบังตา ให้ใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ อย่าใช้อารมณ์ในการคิด และในวันที่ไม่ดี 10, 13 มิ.ย. 53 อย่าหาเรื่องใส่ตนเองโดยการ ตอบโต้กลับคนที่ว่าร้ายเรา เดือดเนื้อร้อนใจกับคนที่ปฏิบัติตนต่อเรา และใช้วันดีวันที่ 7, 8, 11 มิ.ย. 53 ในการตั้งใจเรื่องงาน ถึงดวงตกแค่ไหน ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจก็ทำให้เจ้านายไม่เพ่งเล็งแล้วครับ และที่สำคัญ หมั่นทำบุญ ทำทาน สะเดาะเคราะห์บ่อย ๆ จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา และช่วงนี้พื้นฐานดวงมีแนวโน้มในเรื่องการเจ็บเนื้อเจ็บตัว ก็อยากให้ไปบริจาคเลือดเป็นการแก้เคล็ด เหมือนได้เสียเลือดเสียเนื้อ ก็ทำให้แคล้วคลาดในระดับหนึ่งครับ


สัปดาห์ นี้ทำใจให้มากหน่อย เนื่องจากในตามหลักโหราศาสตร์จีนอยู่ในเดือนที่ไม่เกื้อหนุน อีกทั้งพื้นฐานรอบเดือนเข้าเคราะห์กับสาว ๆ ปีฉลู ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับวันที่ฟ้าร้องพายุกำลังจะมา ถ้าออกไปโดยไม่เตรียมตัวก็คงจะเปียกปอน แถมยังเป็นหวัดได้อีก ก็จะเริ่มมีการส่อแววในความเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจะเข้ามาทำให้เราว้า วุ่นใจ ฝึกสมาธิให้มั่นคงในตอนนี้เพราะข้างหน้านี้จะเจอศึกหนักกว่านี้ ไม่ได้ขู่ให้กลัว แต่ต้องการให้ฝึกจิตสงบใจ และใช้วันที่ดีในการทำธุรกรรมทางการงาน การเงินคือวันที่ 7, 8, 12 มิ.ย. 53 ส่วนวันที่ 9, 11, 13มิ.ย. 53 วันเหล่านี้ถ้าฝึกควบคุมตนเองได้ดี ก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีไม่สะทกสะท้านครับ อีกทั้งจังหวะดวงชะตาได้บอกเรื่องสุขภาพ กับความรัก ส่อแววที่จะมีปัญหาได้ง่าย ๆ ก็ขอให้ระมัดระวังให้ดี ดูแลตัวเอง พักผ่อนให้มาก ๆ อย่าไปตึง ๆ ส่งผลให้อารมณ์ทำให้เราต้องหงุดหงิด


ใน ตามหลักโหราศาสตร์จีน เดือนนี้ถือเป็นเดือนที่สมพงษ์กับชาวปีขาลทุกท่าน ดังนั้นในเดือนนี้อะไร ๆ ก็จะราบรื่นไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ ใครจะเล่นหุ้น เจรจาต่อรองทางธุรกิจ การติดต่อประสานงาน การลงทุนต่าง ๆ อีกทั้งการได้สิ่งของใหม่ ๆ ที่ต้องการ รวมไปถึงการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าลืมนะครับว่าในเดือนดีก็ยังมีวันไม่ดีคุมอยู่เป็นบาง วัน ไม่ใช่ว่าเดือนดีแล้วดีทุกวันนะครับ เรื่องสำคัญ ๆ หรือไปซื้อของชิ้นใหญ่ ๆ ถ้าไปทำ หรือซื้อในวันไม่ดีผลอาจจะออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือได้ของไม่ค่อยดีด้วย ตรงกับวันที่ 8, 10, 12 มิ.ย. 53 ถ้ารู้จักใช้วันดีในการทำงาน ก็จะได้ผลตอบรับกลับมาดี คือวันที่ 9, 13 มิ.ย. 53 เป็นวันที่ควรไปสมัครงาน จะมีโอกาสถูกเรียกตัวสูง หรือไปง้อคนรักก็จะกลับมาหวานแหว๋วได้อีกครั้ง


ใน ตามหลักโหราศาสตร์จีน ในพื้นฐานดวงชะตาจังหวะชีวิตที่เริ่มต้นเดือนนี้ของชาวปีเถาะก็จะค่อย ๆ เริ่มเหนื่อย มีความกังวล เครียด ไม่สบายใจ แล้วมาเริ่มต้นอาทิตย์นี้ที่จะต้องฟันฝ่าตัวเอง และรอบข้าง เนื่องจากมีวันไม่เกื้อหนุนมากกว่าวันเกื้อหนุน วันไม่เกื้อหนุนตรงกับวันที่ 7, 9, 11, 13 มิ.ย. 53 ที่จะส่งผลทำอะไรก็จะติดขัด จุกจิก ทำเวลาได้ไม่ดี งานส่งไม่ทัน โดนเจ้านายตำหนิ ฯลฯ และวันที่เกื้อหนุนตรงกับวันที่ 10 มิ.ย. 53 ส่งผลให้งานราบรื่น เสร็จตามเป้าหมาย ทันเวลาที่วางไว้ เจ้านายชมเชย ธุรกิจตกลงกันได้ ส่วนวันที่เหลือที่ไม่ได้กล่าวถึงนั้น ก็ไม่ใช่วันดีนัก และก็ไม่เชิงวันไม่ดี ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เราทำแล้วว่าไปทำในช่วงที่ส่งเสริมตัวเองหรือไม่ อย่างเช่นถ้าเป็นเวลา 17.00 – 18.59 น. เป็นเวลาที่ชงกับชาวปีเถาะเต็ม ๆ ถ้าเดินทางรถก็จะติด ถ้าคุยกันก็จะขัดแย้ง ถ้ารอคนก็รอนานหน่อยครับ


ในตามหลักโหราศาสตร์ เมื่อคำนวณแล้วในสัปดาห์นี้ของชาวปีมะโรง จะไปเจอสองวันไม่ค่อยดี สองวันดี และสามวันกลาง ๆ ในสองวันไม่ดีนั้นตรงกับวันที่ 8, 10 มิ.ย. 53 สองวันดีนั้นตรงกับวันที่ 7, 11 มิ.ย. 53 และวันที่กลาง ๆตรงกับวันที่ 9, 12, 13 มิ.ย. 53 เป็นวันที่ไม่ได้ส่งเสริม และทำลาย ในวันไม่ดีนั้นทราบอยู่แล้วว่าทำอะไรไม่ได้ดั่งหวัง วันดีทำอะไรเป็นสีชมพูไปหมด ส่วนวันกลาง ๆ มีทั้งดีและไม่ดีปนเปกันไป ก็แล้วแต่ช่วงเวลาในขณะนั้นเป็นช่วงเวลาใด ถ้าไปใช้ช่วงเวลา 15.00 - 18.59 น. เป็นช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ ถ้าเรารีบปั่นงานงานก็จะเสร็จเร็ว ถ้านัดเจอใครก็ไม่หงุดหงิดที่ต้องรอ แต่ภาพรวมเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพใจของคุณผู้หญิง ทำอะไรก็จะติดขัดสักเล็กน้อย จะหงุดหงิดได้ง่าย จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ขอให้ระวัง แต่ก็ขอให้สบายใจไม่ได้หนักหนาอะไรมากครับ


ชีวิต คนเราเมื่อมีปีสุขก็มีปีทุกข์ เมื่อมีเจอวันดีก็มีเจอวันไม่ดี เมื่อมีเวลาราบรื่นก็ต้องมีเวลาสะดุดติดขัด เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุก ๆ คน ไม่ว่าจะดวงดีแค่ไหน หรือดวงตกอย่างไร ที่จะต้องเจอวันแต่ละวัน ที่เจอสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน มาเข้าเรื่องพื้นฐานดวงของชาวปีมะเส็งดีกว่า มาในเดือนนี้ตามหลักโหราศาสตร์จีนเป็นเดือนที่ไม่เกื้อหนุน หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่าเข้าเดือนที่เป็นเคราะห์ในหลาย ๆ เรื่องที่จะประเดประดังเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ อาชีพการงาน การเงิน ครอบครัว และความรัก ก็ขอให้ทำใจ และในอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์แรก ๆ ของช่วงเดือน มิ.ย. ที่มีวันดีตรงกับวันที่ 8, 12 มิ.ย. 53 ส่วนวันที่ไม่เกื้อหนุนคือวันที่ 9, 13 มิ.ย. 53 วิธีการแก้เคล็ด ไปทำบุญ ทำทาน สะเดาะเคราะห์บ่อย ๆ จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา โดยเฉพาะสาว ๆ ถ้าสุขภาพร่างกายเอื้ออำนวยอยากให้ไปบริจาคเลือดครับ


ใน ตามหลักโหราศาสตร์จีนนั้น ได้ถือว่าเข้าสู่เดือนของตนเอง หรือเดือนที่ดีอย่างเต็มตัวแล้ว ก็จะเริ่มมีความคืบหน้าในหน้าที่การงานของตน ภาระที่ได้รับมอบหมายมีความก้าวหน้า การลงทุนธุรกิจเริ่มเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การติดต่อเจรจาประสานงานก็จะได้รับการร่วมมือที่ดี อารมณ์ที่หงุดหงิดง่ายก็จะน้อยลง เรื่องที่คลุมเครือก็จะชัดเจนมากขึ้น เพราะฉะนั้นขอให้ใช้วันที่ดีในการทำธุรกิจต่าง ๆ คือวันที่ 9, 13 มิ.ย. 53 ในอาทิตย์ไม่มีวันที่ชง แต่จะมีวันไม่เกื้อหนุน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงก็ขอให้ทำอะไรด้วยความใจเย็น อย่าหงุดหงิดง่าย ก็จะผ่านไปได้ระดับหนึ่ง วันที่ไม่ดีตรงวันที่ 7, 8, 10, 12 มิ.ย. 53 ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ไม่อย่างนั้นจะมีคนเห็นว่าเราเป็นคนทำอะไรโดยไม่คิดให้ดี มีโอกาสที่จะเจอเพศตรงข้ามหน้าตาใหม่ ๆ แต่ถ้าจะให้คบกันราบรื่นขอให้เลือกคนที่เกิดปีขาล ปีจอ หรือปีมะแม ก็ได้ครับ


ใน พื้นฐานดวงชะตาของชาวปีมะแมนั้น ตั้งแต่ต้นเดือนมาเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ในจังหวะชีวิตอะไร ๆ ก็เริ่มดีไปหมดสำหรับชาวปีมะแมสำหรับคุณผู้ชาย แต่คุณผู้หญิงเป็นช่วงที่ต้องวัดฝีมือ ถ้าสามารถประคอง หรือฟันฝ่าทำงานนั้นได้สำเร็จ ก็จะได้รับการปรบมือจากคนรอบข้าง หรือมีผู้ใหญ่ที่เข้ามาสนับสนุน ไม่อยากให้ปัญหาบางอย่างมาตัดทอนกำลังใจ ถ้าตั้งใจฟันฝ่าไป ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนครับ ในตามหลักโหราศาสตร์จีนจะลงมือทำอะไรลงมือได้เลยในวันที่ 10, 13 มิ.ย. 53 เป็นวันที่สมพงษ์ ส่วนวันที่ชงคือวันที่ 8 มิ.ย. 53 และวันที่ 7, 11 มิ.ย. 53 เป็นวันไม่เกื้อหนุน ใช้เวลานี้เคลียร์เอกสารเก่า ๆ หรืองานค้างคาก็ดี เพื่อเตรียมตัวรับงานใหม่ หรือโปรเจคใหม่เข้ามาก็ดีครับ แต่ชาวปีมะแมช่วงนี้เรื่องของสุขภาพจะเกิดจากการทำงานที่หนัก ก็ขอให้พักผ่อนให้มาก ๆ ด้วยครับ


ถึง แม้ในตามหลักโหราศาสตร์จีน ที่พื้นฐานนักษัตรในรอบเดือนนี้จะไม่ได้มีอะไรกับชาวปีวอกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นในทางที่ดี และไม่ดี แต่จะกลายเป็นมีทั้งดี และไม่ดีปนเปกันไปมากกว่า แต่จะไปมีผลกระทบสำหรับคุณผู้หญิงมากกว่า เนื่องจากพื้นฐานรอบเดือนที่คุมอยู่ จะส่งผลให้มีความหงุดหงิดง่าย อารมณ์ผันผวนง่าย ทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด ใจเย็น ๆ นะครับ เพราะถ้าทำอะไรไปโดยใช้อารมณ์ จะส่งผลเสียย้อนกลับมาหาตัวเราอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในเดือนนี้เลย และในรอบอาทิตย์นี้วันชงตรงวันที่ 9 มิ.ย. 53 มีอะไรเกิดขึ้นก็คิดเสียว่าวันไม่ดีก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ ส่วนวันที่ 7, 11, 12 มิ.ย. 53 จะนัดเจอใครก็มีอารมณ์ที่สดใส ไม่มีใครมาทำให้หงุดหงิด หรือจะไปทำงาน ติดต่ออะไรก็รีบลงมือได้เลยครับ ดวงความรักบางท่านในตอนนี้เริ่มจะระหองระแหง รักษาความห่างไว้บ้างก็พอจะบรรเทาปัญหาไปได้ในระดับหนึ่งครับ


เมื่อ คำนวณในตามหลักโหราศาสตร์จีนแล้ว ที่ได้เคยบอกและเตือนไว้ว่า อาทิตย์ที่แล้วได้เข้าสู่เดือนที่ไม่ค่อยดีกับชาวปีระกา แถมพื้นฐานรอบเดือนยังเข้าเคราะห์สำหรับคุณผู้หญิง จึงโดนเบิ้ล ทำอะไรใจเย็น ๆ จะมีเรื่องมีราวเข้ามาให้ได้เครียด แต่คุณผู้ชายยังเบากว่า แต่ก็มีบ้างที่จะทำอะไรแล้วไม่สมหวัง หรือไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้นทำอะไรในเดือนนี้ก็ขอให้ตรองให้ดี เพราะสถานการณ์พลิกได้ตลอด และในอาทิตย์นี้ก็มีวันชงตรงวันที่ 12 มิ.ย. 53 และวันไม่เกื้อหนุนตรงวันที่ 7, 10, 13 มิ.ย. 53 และวันที่ดีตรงวันที่ 8, 11, 12 มิ.ย. 53 วันไหนเป็นอย่างไรแล้วก็ใช้วันเหล่านั้นให้เข้ากับสถานการณ์ ปรับความคิด และควบคุมอารมณ์ของตนเองให้อยู่ ก็ไม่มีอะไรหนักหนาเกิดขึ้นแล้วครับ โดยเฉพาะสาว ๆ เรื่องสุขภาพควรเอาใจใส่ เพราะงานกับความรักจะเป็นพิษที่ทำให้สุขภาพร่างกายเราทรุดโทรมลงอย่างรวด เร็วด้วยนะครับ


ตั้งแต่ ต้นเดือนมาชาวปีจอทำอะไรก็เริ่มสดชื่นไปหมด คนที่เคยหมางเมินก็หันกลับมามอง คนที่ไม่เคยดูแลจะก็หันเข้ามาเอาใจใส่ การงานที่เคยทิ้งค้างคาไว้ ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง การเงินที่ต้องคอยปวดหัว ก็เริ่มคล่องตัวสบายอกสบายใจขึ้น คนใดที่คิดจะลงทุน หรือทำธุระต่าง ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว ใช้วันที่ดีในการพูดคุยเจรจา และใช้เวลาที่ดีคือเวลา 11.00 – 12.59 น. ยิ่งตัดสินใจในวันที่ดีคือวันที่ 9, 10, 13 มิ.ย. 53 จะมีบางสิ่งบางอย่างดลใจให้เป็นไปตามต้องการ และ วันที่ไม่ดีคือวันที่ 8, 11 มิ.ย. 53 ทำอะไรเบา ๆ ก็จะเสร็จได้ง่าย เนื่องจากอิทธิพลของปี และเดือนนี้ที่ส่งเสริมกับชาวปีจอนั่นเอง ส่วนเรื่องอารมณ์และความคิด ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ เพราะพื้นฐานดวงชะตาในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา มีความสับสน มีความแปรปรวนทั้งในด้านความคิดและอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลา


ใน ตามหลักโหราศาสตร์จีน เข้าสู่เดือนที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น จึงส่งผลให้พื้นฐานดวงชะตาหนักไปทางด้านที่ดีมากกว่าไม่ดี แต่จะไปไม่ดีเล็กน้อยก็สำหรับสาว ๆ ที่จะต้องมีปัญหาต่อเนื่องจากช่วงเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นฐานรอบเดือนที่คุมอยู่ได้เข้าเคราะห์กับสาว ๆ นั่นเอง ก็ขอให้ใจเย็นอีกนิด ส่วนของหนุ่ม ๆ ชาวปีกุนสถานการณ์โดยรวมจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ถ้าใช้สติปัญหาแยกแยะให้ดี สามารถลงมือทำอะไรได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวล แต่ขอให้ใช้วันที่ดีที่ตรงกับวันที่ 9, 10 มิ.ย. 53 ส่วนวันชงตรงกับวันที่ 12 มิ.ย.53 ส่วนวันอื่น ๆ ก็อย่าปล่อยเวลาไปเปล่า ๆ รู้สึกเสียดายแทนครับ แต่ก็ต้องระวังไว้บ้างนะครับสำหรับผู้ชายรอบเกิด พ.ศ. 2526, 2490 และคุณผู้หญิง รอบ พ.ศ. 2514 ก็อาจจะยังคงมีปัญหาบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้วก็ถือว่ามีปัญหาน้อยลงกว่าเดือนที่ผ่านมาอย่างแน่นอนครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เวียนนา นครแห่งเสียงดนตรี



กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เป็นที่รู้จักกันในนาม“นครแห่งเสียงดนตรี” (The City of Music) ผู้คนที่รู้จักเมืองนี้ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า นั่นเป็นฉายาที่เมืองนี้ควรจะได้รับเพราะนับแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา เมืองนี้เป็นบ้านของนักดนตรีชั้นเยี่ยมของโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เฮย์ติน (Haydn) โมซาร์ต (Mozart) บีโธเฟน (Beethoven) ชูเบิร์ต (Schubert) บราหมส์ (Brahms) บรักเนอร์ (Bruckner)มาห์เลอร์ (Mahler) นามที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆน้อย ๆ ของเหล่านักดนตรีพรสวรรค์ที่อาศัยอยู่ ณ กรุงเวียนนา

สาเหตุที่ทำให้เวียนนากลายมาเป็นผู้นำด้านเสียงดนตรีมีหลายประการ ได้แก่ ประการแรก เมืองนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างสถานที่หลายแห่งที่ขึ้นชื่อด้านดนตรี เช่น อิตาลี โบฮีเมีย เยอรมนี ฮังการี เวียนนาจึงเป็นที่ดึงดูดนักดนตรีและนักแต่งเพลงจากประเทศต่าง ๆ ที่อยู่รายรอบ เหตุผลประการที่สอง ชาวเมืองเวียนนาเป็นผู้ที่นิยมในเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก ผู้คนในเมืองนี้ นับแต่คนรับใช้ไปจนถึงราชวงศ์แฮปสเบิร์ก (Hapsburgh) ผู้ปกครองประเทศ แทบทุกคนในเวียนนาจะร้องเพลงเล่นดนตรีได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือเป็นผู้ที่รักและชอบฟังดนตรี ด้วยเหตุนี้เองเวียนนาจึงดึงดูดให้บรรดาครูสอนดนตรีมืออาชีพ นักแต่งเพลง นักดนตรี และผู้คนทุกสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับดนตรีหลั่งไหลมาที่นี่ จากบันทึกที่พบ โจเซฟ ริชเตอร์ (Joseph Richter) บรรยายถึงกรุงเวียนนาในปี ค.ศ. ๑๗๙๔ ไว้ว่า ไม่มีสุภาพสตรีชั้นสูงหรือลูกสาวชาวเมืองคนใดที่จะร้องเพลงและเล่นเปียโนไม่ เพราะ

ในศตวรรษที่ ๑๘ ดนตรีเป็นทั้งสิ่งที่ให้ความบันเทิงและเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะทางสังคมของคน ชั้นสูงในเวียนนา มีขุนนางชาวเวียนนาหลายคนที่มีชื่อเสียงในฐานะนักแต่งเพลงคลาสิกผู้ยิ่งใหญ่ ในหมู่สามัญชนทั่วไปก็มีโรงละครตามชานเมือง เป็นที่ชุมนุมของผู้ที่รักโอเปรา หรือในฤดูร้อนที่ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศดี ก็มีการเล่นคอนเสิร์ตตามสวนสาธารณะ หรือแม้แต่ในโบสถ์ก็มีการแต่งและบรรเลงเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

5 มิ.ย.วันสิ่งแวดล้อมโลก



ทุกวันนี้เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งแวดล้อมของโลกกำลังตกอยู่ในภาวะ วิกฤติ...ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เห็นได้ชัดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติ ร้อนมาก หนาวมาก และฤดูกาลต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงปัญหาโลกร้อนที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น...ซึ่งเป็นสัญญาณ บ่งบอกและกระตุ้นให้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันอย่าง จริงจังเสียที....!

ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติ (UN) จึงกำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็น "วันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day)" และได้มีการสถาปนาวันสิ่งแวดล้อมขึ้นเป็นครั้งแรก ปี พ.ศ. 2515 โดยในปีนี้ได้กำหนดให้มีคำขวัญว่า "ความหลากหลายทางชีวภาพ กู้วิกฤติชีวิตโลก (Many Species One Planet One Future)"

สำหรับประเทศไทยเอง ก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมขึ้นในปี 2518 เป็นฉบับแรก เรียกว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พุทธศักราช 2518 ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติฯ ฉบับที่ 2 ปี พ.ศ.2521 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 พ.ศ.2522 ต่อมาในสมัยรัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน ได้มีร่างพระราชบัญญัติฯ ขึ้นใหม่ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2535 เรียกว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กรมควบคุมมลพิษ และกรมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้คนไทยเห็นความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม


และจากการสำรวจของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เรื่อง "ความคิดเห็นของประชาชนกับสิ่งแวดล้อมในวันนี้" ช่วงระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน ที่ผ่านมา พบว่า มีประชาชนถึง 55.06% ที่ไม่ทราบว่า วันที่ 5 มิถุนายน คือวันสิ่งแวดล้อมโลก ขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกที่ประชาชนคิดว่ารุนแรงที่สุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย ภาวะโลกร้อน อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น 68.22% การเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่าไม้ ถูกทำลาย 8.80% ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น การปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ไฟไหม้ป่า ภูเขาไฟระเบิด 8.80% และปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศที่รุนแรงมากที่สุดในความเห็นของคนไทย 3 อันดับแรก คือ ภาวะโลกร้อน อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น 27.26% การเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่าไม้ ถูกทำลาย 20.72% และปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น ควันจากการจราจร โรงงานอุตสาหกรรม ไฟไหม้ป่า 20.25%

นอกจากนี้ยังมองว่าโอกาสและความเป็นไปได้ที่โลกจะเกิดภัยพิบัติทาง ธรรมชาติครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ มีสูงถึง 31.39% ที่เชื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ค่อนข้างมาก เพราะมีเหตุแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในรอบปี สภาพอากาศที่แปรปรวน ร้อนจัด เกิดอุทกภัยอย่างหนักทั่วโลก

วิกฤติสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่า ใครคนใดคนหนึ่ง จะสามารถแก้ไขได้ ดังนั้น การจะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ... ด้วยการช่วยกันประหยัดทรัพยากรที่อยู่รอบ ๆ อย่างน้ำ ไฟ ควรใช้อย่างคุ้มค่า ช่วยกันลดปริมาณขยะ ไม่ตัดไม้ทำลายป่า และไม่ทำสิ่งใดที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ และทางเสียง รวมทั้งช่วยกันปลูกป่า ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกของเรา

เพียงเท่านี้ ก็สามารถช่วยให้สิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่กับเราไปได้อีกนาน...^^

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิตามินในเครื่องสำอาง


ถ้าลองเข้าไปที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามศูนย์การค้าหรือชั้นวางผลิตภัณฑ์ แชมพู น้ำยานวดผม ครีมบำรุงผิว จะพบว่า แต่ละผลิตภัณฑ์ จะเขียนรายละเอียดถึงส่วนประกอบต่างๆ ไว้ ในบรรดาส่วนประกอบนั้นๆ จะมีวิตามินรวมอยู่ด้วย เช่น วิตามินอี วิตามินเอ วิตามินเอฟ แพนทีนอล นิโคตินาไมด์ ไบโอติน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น วิตามินที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง มีผู้สงสัยว่าได้ประโยชน์หรือไม่ หรือเป็นเพียงคำโฆษณาเท่านั้น

ข้อเท็จจริงก็คือ วิตามินต่างๆ เหล่านี้ออกฤทธิ์ตามทฤษฎี (ซึ่งจะได้กล่าวให้ทราบต่อไป) มีฤทธิ์จริงๆ และควรจะได้ผลตามฤทธิ์ที่มีอยู่ด้วย แต่ขณะเดียวกันเมื่อใช้ไปแล้ว ทุกคนก็ควรประเมินด้วยว่า เป็นอย่างนั้น จริงหรือไม่ เพราะฤทธิ์ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นปรากฏการณ์ ทางห้องทดลองปฏิบัติการ ส่วนการนำมาทาผิวหรือผมนั้น เป็นการนำมาทาขณะที่ผิว และผมยังมีชีวิตอยู่บนร่างกายของเรา ผลอาจไม่เท่าขณะอยู่ในห้องทดลองก็ได้ ดังนั้นควรสังเกตว่า ได้ผลตามทฤษฎีจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการหลงงมงายตามทฤษฎีนั้น วิตามินต่างๆ มีฤทธิ์ดังต่อไปนี้

วิตามินอี

ปกติละลายในน้ำมัน ตัวที่เป็น Tocoperol จะเป็นตัวที่ใช้กันมากที่สุดได้ผลต่างๆ ดีที่สุด โดยเป็นสารต้านอนุพันธ์อสิระ ทำให้ป้องกันการชรา ป้องกันการเกิดมะเร็ง แต่ตัวที่ใช้ในการผสมเครื่องสำอาง คือ tocopheryl acetate จะเป็นน้ำข้นเหนียวๆ เหลืองเข้มออกสีอ่อนๆ และออกฤทธิ์ได้ดี เมื่ออุณหภูมิของผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส และควรมี pH ประมาณ 3.5-8

คุณสมบัติของวิตามินชนิดนี้

เป็นวิตามินคุ้มกันความชราดังกล่าวแล้ว และยังสามารถ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น โดยการผสมวิตามินอี 1-25% จะสามารถทำให้น้ำใต้ผิวหนังไม่ระเหยออกไป จึงมองดูผิวเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่นซึ่งถ้าสามารถเตรียมให้ได้ฤทธิ์ดังกล่าวแล้ว ก็คงจะทำให้หน้าผากไม่ย่น ตีนกาไม่เกิด ผิวที่แขนและอกเรียบเนียน จึงมีวิตามินอีขายตามท้องตลาดมากมา ราว ๆ 10 กว่าปีแล้ว

นอกจากนี้วิตามินอี กระตุ้นให้บาดแผลหายเร็ว ดังนั้นเมื่อมีรอยถลอกหรือมีบาดแผล และเริ่มหายแล้ว การทาวิตามินอี จะช่วยให้แผลตื้น และไยคอลลาเจน สร้างสะสมออกมาป้องกันแผลเป็นอีกด้วย ฤทธิ์ที่สำคัญอีกอย่างของวิตามินชนิดนี้คือ ลดอาการแดง ลดอาการบวมจากการอักเสบ ลดการหลั่งสารฮีสตามีน ซึ่งสารนี้ทำให้เกิดอาการคันภายหลังถูกยุงกัด หรือการระคายผิว ดังนั้นผู้ที่ทาครีมผสมวิตามินชนิดนี้ ควรจะคันน้อยลง หรือไม่คันเมื่อถูกยุงกัด

การทาวิตามินอีลงบนผิว จะถูกดูดซึมผ่านชั้นขี้ไคล หนังกำพร้า หนังแท้ ต่อมขนและต่อมไขมัน ลงไปสะสมอยู่ในส่วนต่างๆ นี้ ประมาณ 4-6 ชั่วโมง แล้วสลายตัวไป

ผลิตภัณฑ์ทาผิวเมื่อผสมวิตามินอีแล้ว จะทำให้ผิวหนังชุมชื้น อ่อนนุ่ม แก่ช้า ถ้าผสมลงในยากันแดด จะทำให้ยากันแดด มีคุณสมบัติป้องกันแดดได้มากขึ้นกว่าเดิม ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่ผสมวิตามินอี น่าจะมีผลในการป้องกัน การทำลายของเส้นผมจากแสงแดด ช่วยป้องกันชั้นเคอราติน (ชั้นนอกสุดของเส้นผม) ทำให้ผมมีความแข็งแรงทนทานต่อการ ไดร์ผม กระชากผม รวมถึงการดัดผม ยืดผม บ่อย ๆ ด้วย

วิตามินอีได้รับความนิยมมากในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของหลายๆ บริษัท และวางขายทั่วไป มีทั้งราคาถูกและแพง ขายมาหลายปีแล้ว และยังครองใจผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ขอให้ผู้ใช้ประเมินผลกับตัวเองด้วย ว่าเป็นอย่างไรบ้างและบอกกล่าวมาบ้าง



ดี แพนทีนอล (D-panthenol)

พบเห็นบ่อย ๆ มากในผลิตภัณฑ์สระผมหรือบำรุงผม จริงๆ แล้ววิตามินชนิดนี้มีอยู่ในผิวพรรณ ในรูปของ D-panthenol และ panthothenic acid ละลายได้ดีในน้ำ จึงอยู่ในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมได้ดี มีหน้าที่ในการทำเกิดความชุ่มชื่น เพราะอุ้มน้ำไว้ ทำให้แผลหายเร็วเพราะกระตุ้นการติดของผิวหนังและเส้นผม เมื่อถูกทำลายด้วยสารเคมีต่าง ๆ

เมื่อผสมลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผม จะออกฤทธิ์ป้องกันความแห้งกรอบ ของเส้นผม ซ่อมแซมผิวรอบนอกของเส้นผมที่ถูกกัดกร่อนโดยน้ำยาดัด น้ำยายืด และความร้อนจากการอบ ไดร์ผม ช่วยเสริมสร้างเส้นผมให้มีเงางาม และยังป้องกันการเกิดรังแคด้วย

ถ้าผสม D-panthenol ลงในครีมบำรุงผิว จะทำให้ผิวมีความ ชุ่มชื่น ลดการอักเสบ และความแดงแม้ตากแดดนาน นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ของผิวหนัง ทำให้แผลหายเร็ว ฤทธิ์ต่างๆ คล้ายกับวิตามินอี ยกเว้นไม่ป้องกันความชราเท่านั้น

ลิปสติก บางยี่ห้อจะใส่ D-panthenol ด้วย เพื่อต้องการให้ริมฝี ปากมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งลอก และตกสะเก็ด ดังนั้นจึงควรเลือกลิปสติกที่ผสมวิตามินชนิดนี้มาใช้ในประจำวัน

น้ำยาที่ใช้ภายหลังโกนหนวด (after shave lotion) บางชนิดก็ นิยมผสมวิตามินนี้ลงไปด้วย เพราะในการโกนหนวดมักมีบาดแผลถลอก เกิดได้โดยง่าย การทางผลิตภัณฑ์นี้จะทำให้แผลถลอกหายได้เร็ว และไม่ใคร่เกิดแผลเป็น

น้ำยาทาเล็บ ก็นิยมผสม D-panthenol เช่นกัน โดยทำให้เล็บ เป็นเงางาม ตัดง่าย ไม่เปราะและฉีกขาดเมื่อกระแทก

ยาสีฟันบางชนิดก็ผสมแต่ควรใช้ D-panthenol ไม่เกิน 1% โดยน้ำหนัก



วิตามินเอฟ

ที่เคยได้ยินทางโฆษณาทีวี เมื่อประมาณปีที่แล้ว คือ ผสมลงในแชมพูชนิดหนึ่ง วิตามินตัวนี้สร้างได้ในร่างกายมนุษย์ มีคุณสมบัติในการป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวและเส้นผม นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวและเส้นผมซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีอีกด้วย

ดังนั้นผลิตภัณฑ์แชมพูหรือครีมนวดผมที่ผสมวิตามินเอฟ จะช่วยทำให้เส้นผมชุ่มชื้น ไม่แห้งกรอบและแตกปลาย ถ้าสัมผัสกับหนังศีรษะจะช่วยให้หนังศีรษะที่อักเสบจากน้ำยาดัด น้ำยาโกรกหรือน้ำยายืดผม หายอักเสบได้เร็ว และสุขภาพของหนังศีรษะ จะแข็งแรงขึ้น ไม่เกิดรังแคหรืออาการคันศีรษะได้ง่าย ส่วนครีมทาผิว ที่ผสมวิตามินเอฟ ก็จะมีความชุ่มชื้น อวบอิ่ม ไม่เหี่ยวย่น ง่ายก่อนถึงวัยอันสมควร



P-Biotin
P-Biotin นิยมใส่ในผลิตภัณฑ์ถนอมเส้นผมพอประมาณ เพราะจริงๆ แล้ว วิตามินชนิดนี้มีอยู่ในปริมาณพอใช้ในเซลล์ผิว และเส้นผมที่เพิ่งเกิดใหม่ ซึ่งคุณสมบัติคือ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ คล้ายผิวทารก และเส้นผมเป็นเงางาม บางบริษัทนิยมใส่ Biotin ในผลิตภัณฑ์ถนอมเล็บด้วย เพื่อให้เล็บเป็นเงางามและมองดูสะอาดตา

วิตามินเอ

เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่า วิตามินเอ มีผลต่อผิวพรรณมาก ทั้งรับประทานและชนิดทา แต่ชนิดทานั้นก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากเท่า วิตามินอี อาจเป็นเพราะว่า วิตามินเอ ป้องกันความชราไม่ได้ พวกนักเคมีนำวิตามินชนิดนี้มาผสมในครีมทาผิว เพราะจะช่วยให้ผิวหนาและคงทนต่อการระคายเคือง จากแดดและสิ่งต่าง ๆ นอกจากยังทำให้การยืดหยุ่นของผิวดีขึ้น แผลเป็นมีโอกาสได้น้อยภายหลังการเกิดบาดแผล

ฤทธิ์ต่างๆ ของวิตามินที่กล่าวมานั้น เป็นฤทธิ์ทางทฤษฎี ที่ผู้ผลิตสินค้าหวังว่า วิตามินที่กล่าวมาทั้งหมดจะออกฤทธิ์ดังกล่าว จึงพยายามนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ถนอมผิวและถนอมผม แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ผลตอบสนองของผิวและเส้นผมของแต่ละบุคคล แตกต่างกันมาก บางรายอาจได้ผลดี บางรายอาจได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลชะลอความแก่ วิตามินอีนั้นต้องติดตามเป็นเวลาหลายปี จึงยากแก่การประเมินว่าได้ผลจริงมากน้อยเพียงใด

ส่วนผลที่วิตามินต่างๆ ทำให้ผิวดูนิ่มนวลและชุ่มชื่น เห็นผลทันตา ภายหลังจากทาผิวแต่ก็เป็นผลระยะสั้นเท่านั้น ส่วนวิตามินในผลิตภัณฑ์ถนอมผมนั้น เห็นผลได้ไวกว่า เช่น ผมมันเงาและมีน้ำหนักขึ้น ไม่แตกปลายง่าย หรือถ้าไม่ได้ผล เราก็จะเห็นได้ภายใน 1-2 เดือน ก็เลิกใช้ไป และวิตามินต่างๆ เหล่านี้ มีราคาแพง ผู้ผลิตจึงไม่นิยมใส่ในปริมาณมากนัก เพื่อลดราคาต้นทุนลง จึงเป็นวิจารณญาณของผู้บริโภคว่า ควรพิจารณาใช้วิตามินเหล่านี้หรือไม่ โดยใช้ความรู้ภาคทฤษฎีดังได้กล่าวแล้ว