วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผัก-ผลไม้ปั่น ดื่มบำรุงสายตา

เพราะตลอดสัปดาห์นี้ ‘มุมสุขภาพ’ ว่ากันด้วยเรื่องของผัก และผลไม้ช่วยชีวิต ตามแนวทางของ ดร.ทอม อู๋ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจากสหรัฐอเมริกา ‘กินดี’ วันนี้จึงไม่พลาดปิดท้ายสัปดาห์กันด้วยเครื่องดื่มจากผักและผลไม้ที่มีสรรพคุณบำรุงสายตา

ผัก,ผลไม้, สายตา, โภชนาการ, สุขภาพ, ร่างกาย, เครื่องดื่ม

แม้จะมีส่วนผสมให้ต้องเตรียมมากถึง 17 ชนิด โปรดอย่าถอดใจ เพราะส่วนผสมทั้งหมดนั้นเมื่อนำมาปั่นผสมกันแล้วเสมือนเป็นการเติมสารอาหาร ที่มีคุณประโยชน์มากมายสู่ร่างกาย โดยจะขอยกตัวอย่างสรรพคุณของส่วนผสมบางชนิด อย่าง ‘เมล็ดแฟลกซ์’ แหล่งรวมของกรดไขมันที่จำเป็นอย่าง โอเมกา 3 สารอาหารบำรุงสมอง ทั้งยังเสริมสร้างการทำงานของหัวใจ ลดระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันร่างกาย

ส่วน ‘แครอต’ อุดม ไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็งร้าย แถมยังช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ และระบบทางเดินหายใจให้มีประสิทธิภาพ และ ‘บีตรูต’ เปี่ยม ไปด้วยวิตามินบี1 บี2 และบี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี ช่วยทำความสะอาดตับและลำไส้ส่วนล่าง ขับสารพิษ ฟอกเลือดและไต เพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ได้มากถึง 400% สำหรับคุณผู้หญิงการรับประทานบีตรูตจะช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

เครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมที่จะต้องเตรียมตามสัดส่วนดังต่อไปนี้...

-หัวบีตรูตขนาดกลาง 1 หัว
-แครอต 2 หัว
-ผักปวยเล้ง 1 ต้น
-ข้าวโพด 1 ฝัก
-มะเขือเทศ 2 ลูก
-บลูเบอรี่ 1 ถ้วย
-กีวี 2 ผล
-องุ่นดำชนิดมีเมล็ด 2 ถ้วยครึ่ง
-น้ำกลั่น 2 ถ้วยครึ่ง
-เกลือทะเล 1 ช้อนชา
-ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
-เกสรผึ้ง 2 ช้อนชา
-เก๋ากี้ 3 ช้อนโต๊ะ
-เมล็ดแฟลกซ์ 2 ช้อนชา
-งาดำ 4 ช้อนชา
-เมล็ดฟักทอง 1 ช้อนชา
-เลซิทิน 2 ช้อนชา

ขั้นตอนการปรุงดื่ม เริ่มจากการล้างส่วนผสมทั้งหมดให้สะอาด หั่นแครอตและมะเขือเทศเป็นชิ้น ส่วนข้าวโพดฝานเอาแต่เมล็ด ส่วนกีวีต้องปอกเปลือกก่อนหั่นเป็นชิ้น สำหรับบีตรูตต้องล้างให้หมดดิน กรณีที่ส่วนใดล้างดินไม่หมดให้ใช้มีดฝานออก จากนั้นเทน้ำกลั่นลงไปในโถปั่นใส่ผัก ผลไม้และส่วนผสมทุกชนิดลงปั่นพร้อมกันยกเว้นเลซิทิน ที่ให้เติมลงไปหลังจากส่วนผสมทุกอย่างถูกปั่นเป็นน้ำ เมื่อเติมเลซิทินแล้วให้ปั่นต่อไปอีก 10 วินาที ก็จะได้เครื่องดื่มบำรุงสายตาราว 6-7 แก้ว เฉลี่ยแบ่งให้ได้แก้วละ 250 ซีซี ควรดื่มให้หมดภายในวันเดียว ถ้าจะให้ดีผักและผลไม้ที่จะนำมาปรุงดื่มควรเป็นผักอินทรีย์ปลอดสารเคมี

อย่าง ไรก็ตาม ดร.อู๋ แนะนำให้เลือกใช้เครื่องปั่นที่มีความแรง 3.5 แรงม้า ขณะดื่มให้เคี้ยวกากน้ำผักและผลไม้ช้า ๆ 10 ครั้งก่อนกลืน ควรดื่มก่อนมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ ‘ธรรมชาติช่วยชีวิต 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ’

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การรับประทานอาหารเช้า

วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง หมอที่โรงพยาบาลฯ อบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมาก ได้ หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย

ซึ่งการที่เรา บอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า

โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ (oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา (ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อ เวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะ สร้า งสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล

คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุยไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมากไปทำลายเซลล์ เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1. ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)

2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ

3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์

4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ : เมื่อถูกน้ำร้อนลวกมือ

น้ำร้อนลวก, มือพอง, น้ำร้อน, ของร้อน,  เคล็ดลับ

หลายคนที่ชอบปรุงอาหาร ส่วนใหญ่ก็คงจะเคยถูกน้ำร้อนลวกมือกันมาบ้าง วันนี้เรามีเคล็ดลับมาแชร์กัน

ก่อนอื่นเลยก็ต้องรีบล้างออกด้วยน้ำธรรมดา ให้ผิวเย็นลงเร็วที่สุด
(แต่ ห้ามใช้น้ำแข็งประคบ หรือ ทายาสีฟันเด็ดขาดค่ะ เนื่องจากว่า น้ำแข็งจะทำให้ผิวเย็นเกินไปจะทำปฏิกิริยากับผิว และยาสีฟันก็คล้ายๆ กันแต่จะกัดผิวด้วยค่ะ)

หลังจากนั้นหาครีมมาทาค่ะ ถ้าจะให้ดีควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ หรือจะเอาเจลใสๆ จากว่านหางจระเข้สดๆ มาแปะไว้ก็ไม่ว่ากันค่ะ แต่ควรลอกส่วนที่เหลืองๆ ออกก่อน

เพียงเท่านี้ มือของคุณก็จะกลับมาสวยเหมือนเดิมในเร็ววันแล้ว

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมล็ดทานตะวัน อาหารชั้นดี

มะเร็ง, หัวใจ, วิตามินอี, เมล็ดทานตะวัน, อาหาร

จัดเป็นอาหารสุขภาพชั้นดี มีวิตามินอี และกรดไขมันไลโนเลอิค ซึ่งมีประโยชน์มากในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง มีวิตามินอีช่วยป้องกันหัวใจวาย วิตามินอียังเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้อง กันมะเร็ง และโรคต้อกระจก กรดไลโนเลอิคช่วยลดระดับทั้งคอเลสเตอรอลรวม และคอเลสเตอรอลร้าย (LDL) อันเป็นสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจตีบ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการแข็งตัวของเกล็ดเลือดอีกด้วย

เมล็ด ดอกทานตะวัน รับประทานวันละ ๔๐-๖๐ กรัม จะช่วยให้มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในปริมาณที่มากพอ เมล็ดดอกทานตะวันในปริมาณ ๒๘ กรัม (๒ ช้อนโต๊ะ) ให้พลังงาน ๑๖๓ แคลอรี กรดไลโนเลอิค ๘ กรัม กรดไขมันชนิดอิ่มตัว ๑ กรัม เส้นใย ๖ กรัม วิตามินบี ๑ ๐.๔ มิลลิกรัม และวิตามินอี ๑๑ มิลลิกรัม

เมล็ดดอกทานตะวันไม่เพียงรับประทานเป็น ของขบเคี้ยวเท่านั้น ยังปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้ อาจจะใส่ในสลัด ยํา ข้าวอบ ใช้คลุกเนื้อสัตว์แทนเกล็ดขนมปัง หรือทําขนมหวานก็ได้ เมนูจานสุขภาพจากเมล็ดดอกทานตะวันจึงมีมากมาย ทําให้กินเมล็ดดอกทานตะวันกันได้ไม่รู้เบื่อ

เมล็ดดอกทานตะวันมีขาย หลายรูปแบบทั้งที่อบพอสุกใส่เกลือป่นเล็กน้อย มีรสมัน รสเค็มอ่อนๆ รับประทานเป็นของขบเคี้ยว และแบบเคลือบน้ำตาล รับประทานเป็นขนมหวาน อาหารที่ใส่เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นเครื่องปรุงนั้นต้องใช้เมล็ดดอกทานตะวันแบบอบใส่เกลือ วิธีทําให้ได้กลิ่นรสของเมล็ดดอกทานตะวันนั้นต้องบุบพอแตกก่อน ที่สําคัญต้องใช้เวลาสั้นในการปรุง มิฉะนั้นสารที่มีประโยชน์จะเหลือน้อยลง

วิธี เลือกซื้อเมล็ดดอกทานตะวัน ต้องเลือกที่ใหม่ๆ และไม่เหม็นหืน สังเกตจากเปลือกหุ้มเมล็ดต้องมีสีเทา ไม่เป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล ถ้ากินไม่หมดในครั้งเดียวต้องเก็บใส่ภาชนะมีฝาปิดสนิทอากาศเข้าไม่ได้ เมล็ดดอกทานตะวันจึงจะไม่มีกลิ่นเหม็นหืน หรือไม่ก็ซื้อมาในปริมาณน้อยใช้ในครั้งเดียวหมด ♦

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันเกิด หลุยส์ ปาสเตอร์ นักเคมีผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า



27 ธันวาคม พ.ศ. 2365 วันเกิด หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis pasteur) นักเคมีผู้ยิ่งใหญ่ชาวฝรั่งเศส เกิดที่เมือง Dole รัฐ Jura ฝรั่งเศส ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา และสร้างคุณประโยชน์อย่างมากให้กับสาธารณชน คือวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในอดีตเป็นโรคที่สามารถคร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เขายังค้นพบวัคซีนอีกหลายชนิด ได้แก่ อหิวาตกโรค วัณโรค และโรคคอตีบ อีกทั้งเขายังเป็นผู้ค้นพบวิธีการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์แบบพาสเจอร์ไรต์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการถนอมอาหารเป็นอย่างมาก ในปี 2413 ปาสเตอร์ได้ก่อตั้ง “มูลนิธิปาสเตอร์” ขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ทดลองค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคติดต่อชนิดต่าง ๆ ที่กรุงปารีส ก่อนจะขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเรารู้จักกันในนาม “สถานเสาวภา”

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

5 ปีสึนามิไร้เงาญาติรำลึกที่สุสานไม้ขาว

Pic_55258
ครบรอบ 5 ปีสึนามิไร้เงาญาติเหยื่อมหันตภัยรำลึกดวงวิญญาณที่สุสานไม้ขาวภูเก็ต มีเพียง อบต.ทำบุญ 2 ศาสนา พุทธ-คริสต์อย่างเงียบๆ โดยทาง อบต.จัดสร้างกำแพงรำลึกสึนามิถาวร เพื่อให้ญาติได้ไว้อาลัย..

เมื่อ เวลา 08.45 น.วันที่ 26 ธ.ค. ที่สุสานไม้ขาว ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต สถานที่ที่เคยใช้เป็นศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับของทีทีวีไอ -ดีวีไอนานาชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเหยื่อมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มชายฝั่ง อันดามันนับพันร่าง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบัน อบต.ไม้ขาวได้มีการจัดสร้างกำแพงรำลึกสึนามิขึ้นอย่างถาวร เพื่อให้ญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 47 ประเทศทั่วโลกได้เดินทางมาไว้อาลัยในแต่ละปี



ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา อบต.ไม้ขาวกับจังหวัดภูเก็ตและประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต ทั้งชาวไทยและต่างชาติจะร่วมกันประกอบพิธีทางศาสนาต่างๆ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณที่จากไปมาอย่างต่อเนื่อง

โดยปี นี้ มีนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานกล่าวคำไว้อาลัยแก่ดวงวิญญาณ จากนั้นได้ร่วมกันวางพวงหรีดและพวงมาลัยบริเวณกำแพงรำลึกสึนามิ ท่ามกลางความเงียบเหงาไร้เงาญาติผู้เสียชีวิตมาร่วมงาน มีเพียงเจ้าหน้าที่ อบต.ไม้ขาว และประชาชนในพื้นที่กว่า 30 คน ซึ่งประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธและคริสต์อย่างเรียบง่าย



นาย สราวุธ สีสาคูคาม นายก อบต.ไม้ขาว กล่าวว่า การจัดงานรำลึกครบ 5 ปีสึนามิที่สุสานไม้ขาวปีนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยได้มีการจัดสร้างกำแพงรำลึกสึนามิขึ้นอย่างถาวร จากอดีตเป็นเพียงไม้อัดและนำธงแต่ละชาติมาปักไว้เท่านั้น ซึ่งจากนี้ไปญาติผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติสึนามิจะสามารถเดินทางมาวางมาลัย หรือพวงหรีดที่กำแพงรำลึกสึนามิได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันที่ 26 ธ.ค.ของแต่ละปี ซึ่งในปีนี้ได้มีญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตต่างทยอยเดินทางมาวางพวงหรีดและ มาลัยที่กำแพงรำลึกสึนามิของแต่ชาติที่สุสานไม้ขาวไปก่อนหน้าวันครบรอบ 5 ปีบ้างแล้ว ทำให้วันครบรอบไม่มีญาติผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวต่างชาติ มีเพียงญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตที่เป็นคนไทยเท่านั้น.


วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันคริสต์มาส

วันคริสต์มาส 25 ธันวาคม

วันคริสต์มาส คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซูมิใช่เป็น แต่เพียงมนุษย์ธรรดาๆ ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็น พระเจ้า และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์ พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย
ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า

ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคน ในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโน ประชากร โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ใน รางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย คืนนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็น หลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมารมีผ้าพันกาย นอนอยู่ในรางหญ้า"

ทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลง สรรเสริญ พระเจ้าว่า Gloria in Excelsis Deo ขอเทิด พระเกียรติพระเจ้าผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด สันติสุขบนพิภพจงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย

ทำไมจึงฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม

ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่าพระเยซูเจ้าบังเกิด ในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัสเป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า เป็นวัน หรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ที่คริสตชน เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลอง วันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่าเป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือน ดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์

คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิ โรมันรู้สึกอึดอัดใจที่จะฉลอง วันเกิดของสุริยเทพตามประเพณีของ ชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชนไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย

ความสำคัญของวันคริสต์มาส

คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกายจัดงาน รื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอกของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรัก ของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียว ของพระองค์ ให้มาเกิดเป็น มนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า "เยซู"
การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาส ของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง

ดังนั้นความสำคัญของวันคริสต์มาสจึงอยู่ที่การฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อ โลกมนุษย์ อย่างเป็นจริง เป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

ประวัติวันคริสต์มาส

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เรา เฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษ โบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซาเป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรก ในเอกสารโบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุข และความสงบทางใจ

เพราะฉะนั้นคำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบ ทางใจ เนื่องใน โอกาสเทศกาลคริสต์มาส ส่วนภาษาไทยใช้อวยพรด้วยประโยคว่า "สุขสันต์วันคริสต์มาส Merry Christmas "



การร้องเพลงคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน

เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

เทียนและพวงมาลัย

ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้นในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา

ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่มไปแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่านไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า

เทียนและพวงมาลัย

ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้นในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา

ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่มไปแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่านไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า

การทำมิสซาเที่ยงคืน

เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้วในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ

พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน พระสัน ตะปาปาก็ทรงถวายบูชา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก เป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และสัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อ สัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติ ของพระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมี ธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน

ซานตาครอส

ตัวจริงของซานตาครอส คือ นักบุญนิโคลัสซึ่งเป็นบาทหลวงในตุรกี ช่วงคริสต์ศตวรรษที่สี่ ผู้ขึ้นชื่อในเรื่องความใจดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ ต่อมาท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วฮอลแลนด์ในชื่อ "ซินเตอร์คลาส" ราวค.ศ.1870 ชาวอเมริกันเรียกชื่อเพี้ยนไปเป็น "ซานตาคลอส" ตั้งแต่แรกจนถึงค.ศ. 1890

ภาพของซานตาคลอสเป็นชายร่างผอมสูงสวมชุดสีเขียว หรือน้ำตาลสลับแดง เจนนี ไนสตรอม ศิลปินชาวสวีเดน เป็นผู้คิดค้นรูปลักษณ์ของซานตาครอสอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน โดยวาดภาพลงในบัตรอวยพรคริสต์มาส ภาพเหล่านี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกเมื่อชาวสวีเดนอีกคนหนึ่งชื่อ แฮดดอน ซันบลอม นำ ภาพวาดของไนสตรอมไปใช้ในการโฆษณา โคคา-โคล่า ในค.ศ. 1931 เนื่องจากซานตาคลอสของไนสตรอมสวมชุดขาวแดง อันเป็นสีเดียวกับเครื่องหมายการค้าของ โคคา-โคล่า นอกจากนี้ ซันบลอม ยังเปลี่ยนโฉมซานตาคลอส ให้มีทรวดทรงอ้วนท้วน และมีกวางเรนเดียร์เป็นพาหนะประจำตัว และในค.ศ.1822 คลีเมนต์มัวร์ นักคิดชาวอเมริกา ประพันธ์บทกลอนชื่อ “เมื่อนักบุญนิโคลัสมาเยือน” ก็เป็นจุดกำเนิดความคิดที่ว่าซานตาครอสเข้าบ้านทางปล่องไฟ


วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กลอกกลิ้งลูกตาบริหารกล้ามเนื้อ

ดวงตา, ตา, ลูกตา, บริหารกล้ามเนื้อตา

นอกจากข้อแนะนำที่ฝากให้ปฏิบัติไว้ก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการกระพริบตาถี่ ๆ หลับตา หรือละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะ วันนี้ ‘ยืดเส้นยืดสาย’ เพิ่มเทคนิคการบริหารกล้ามเนื้อดวงตา ลดความเมื้อยล้า แถมยังสามารถผ่อนคลายความตึงเครียดได้อย่างน่าพอใจ

เพียง ตั้งศีรษะตรงโดยไม่ต้องหันตามทิศทางที่ลูกตากลอกมองไป จากนั้นให้กลอกลูกตาไปทางซ้ายให้มากที่สุด สลับกับการกลอกลูกตาไปทางขวาให้มากที่สุด 10 รอบ

ต่อไปให้เหลือบ ลูกตามองขึ้นไปบนเพดาน สลับกับเหลือบมองพื้นให้มากที่สุด ทำซ้ำ 10 รอบ แล้วจึงเหลือบตามองที่ตำแหน่งปลายคิ้วด้านซ้าย ก่อนลากสายตาให้เหลือบมองแก้มด้านขวา ทำให้ได้ 10 รอบ แล้วเปลี่ยนไปเหลือบมองที่ตำแหน่งปลายคิ้วขวา แล้วเหลือบมองแก้มด้านซ้าย 10 รอบเช่นกัน

ถัดมาให้หมุนลูกตาในลักษณะเป็นวงกลม วนทั้งทางขวาและซ้าย ด้านละ 10 รอบ ส่วนการผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตาทำได้ง่ายๆ ด้วยการหลับตา จากนั้นวางนิ้วชี้ลงบริเวณเหนือคิ้วแต่ละข้าง แล้วกดนวดทั้งบริเวณคิ้วและรอบดวงตา เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว บางรายวิธีการนวดรอบดวงตาสามารถช่วยลดความรู้สึกปวดเบ้าตาและศีรษะได้.

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ต้นคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาส (POINSETTIA)

ข้อมูลทั่วไป


ชื่อวิทยาศาสตร์ Euphorbia pulcherrima Wild.

วงศ์ EUPHORBIACEAE

ชื่ออื่น ๆ บานใบ (เหนือ) โพผัน สองระดู (กรุงเทพ)

ลักษณะพืช ไม้พุ่มสูง 1-3 เมตร ใบคล้ายรูปไข่ปลายแหลม ขอบใบหยัก 2-3 หยัก ดอกสีเหลืองออกเป็นช่อที่ยอดโดยมีดอกเพศผู้ และ เพศเมียอยู่บนช่อเดียวกันและมีใบประดับสีแดงอยู่โดยรอบ ช่อเกสรตัวผู้มีจำนวนมาก

ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางขาว ใบ ลำต้น

สารพิษและสารเคมีอื่นๆ resin การเกิดพิษน้ำยางเมื่อถูกผิวหนัง จะระคายเคืองมาก ถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้กระเพาะอักเสบได้

การรักษา ล้างน้ำยางออกจากผิวหนังโดยใช้สบู่ และน้ำอาจให้ยาทา สเตียรอยด์ ถ้ารับประทานเข้าไปให้เอาส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมออกใช้ activated charcoal ล้างท้อง หรือทำให้อาเจียร และรักษาตามอาการ

ความเป็นมาของต้นคริสต์มาส (POINSETTIA)

ในฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาว วันประสูติแห่งพระเยซูเจ้ามาถึงแล้ว สาวกและผู้คนทั้งหลายล้วนมอบของขวัญที่วิเศษที่สุดให้กับพระเยซู แต่ PEPITA เด็กหญิงชาวเม็กซิกันผู้ยากไร้หาได้มีของขวัญใดแม้เพียงสักชิ้นเดียวในมือ แต่ด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธา แม้ของที่ด้อยราคา อาจจะมีค่าในสายตาพระเยซูเจ้าได้ เธอจึงก้มลงเก็บวัชพืชริมทางเพื่อนำไปมอบให้พระคริสต์ ด้วยศรัธาอันยิ่งใหญ่ของเธอ วัชพืชนั้นกลับงอกงาม กลายเป็นช่อดอกไม้สีแดงสดสวยงาม นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

จากตำนานนี้ วัชพืชที่กลายเป็นช่อดอกไม้สวยงามนั้น จึงได้ชื่อว่า Flores de Noche Buena หรือ Flowers of the Holy Night ตามภาษาเม็กซิกันซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของต้นไม้ชนิดนี้ แต่คนไทยเรียกว่า ต้นคริสต์มาส เพราะต้นไม้ชนิดนี้จะสวยมากช่วงคริสต์มาส คือปลายเดือนธันวาคม เมื่อกลางคืนเริ่มนานกว่า 12 ชั่วโมง ใบเลี้ยงของต้น POINSETTIA จะเปลี่ยนเป็นสีแดง หลายคนเข้าใจว่าสีแดงที่เห็นนั้นคือดอก จึงเรียก ดอกคริสต์มาส

การที่ Flowers of the Holy Night กลายมาเป็นต้น POINSETTIA ก็เพราะว่า เมื่อปี ค . ศ .1820 JOEL ROBERTS POINSETT เอกอัคราชฑูตสหรัฐฯ คนแรกประจำประเทศเม็กซิกัน ได้เดินทางท่องเที่ยวไปตามชนบทเพื่อมองหาไม้แปลกใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน แล้วพบพุ่มไม้สวยพุ่มหนึ่งมีสีแดงสดใสขึ้นอยู่บริเวณริมถนน จึงได้นำไม้นั้นกลับไปปลูกที่เรือนเพาะเลี้ยงต้นไม้ของเขาที่ South Carolina

แม้ Roberts Poinsett จะมีบทบาทที่สำคัญในฐานะสมาชิกรัฐสภาและนักการฑูตที่สามารถ แต่เขากลับเป็นที่รู้จักและจดจำในฐานะของบุคคลที่นำ POINSETTIA เข้ามาให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ในสหรัฐฯเป็นคนแรกมากกว่า และชื่อของต้นไม้นี้ก็ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขานั่นเอง

ต่อมา Wilenow นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน พบว่า POINSETTIA ที่ขึ้นแทรกในเรือนเพาะเลี้ยงต้นไม้ของเขา มีสีสดใสชวนตะลึง เลยตั้งชื่อ POINSETTIA ทางพฤกษศาสตร์ ว่า Euphorbia pulcherrima แปลว่าสวยมาก

ส่วนชาว Aztecs ซึ่งเป็นชุมชนอารยธรรมโบราณเรียก POINSETTIA ว่า Cuetlayochitl ในขณะที่ชาว Chile และ Peru เรียก POINSETTIA ว่า Crown of the Andes การที่ต้นคริสมาสมีหลากหลายชื่อนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เป็นสากลของต้นคริสมาสเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับประเทศไทยนั้น เริ่มนิยมใช้ต้นคริสต์มาสในการเป็นไม้ประดับเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว โดยมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในแถบภาคอิสานและภาคเหนือ โดยเฉพาะที่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย จากการที่ลมหนาวจะพัดเข้าทางภาคอีสานก่อนภาคเหนือ ทำให้ POINSETTIA จากทางภาคอีสานจะสวยและสมบูรณ์ก่อนที่ปลูกในภาคเหนือและสามารถส่งมาขายช่วง ก่อนคริสต์มาสและปีใหม่ได้ทัน

POINSETTIA เป็นพรรณไม้ทีปลูกที่แสงแดดกึ่งรม ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งกลางแจ้งและปลูกเป็นไม้กระถางภายในอาคาร ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย

POINSETTIA มีมากกว่า 100 พันธุ์ที่แตกต่างกัน มีการเรียกชื่อที่หลากหลายออกไปอีกหลายชื่อเช่น Lobster Flower หรือ Flame Leaf Flower

โดยในสหรัฐอเมริกานั้น แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญคือ California และเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมถึงขั้นจัดงานวัน National Poinsettia Day ขึ้นทุกปีเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กรุงเทพฯ เริ่มเปิดบริการรถรางเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและเอเชีย


22 กันยายน พ.ศ. 2431 กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเปิดบริการ รถราง เป็นครั้งแรกของประเทศไทยและเอเชีย โดยขณะนั้นยังใช้ม้า 8 ตัว แยกเป็น 2 พวงพวงละ 4 ตัว ลากรถให้วิ่งไปตามราง ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นใช้กำลังไฟฟ้าใน พ.ศ. 2437 ถือว่าประเทศไทยมีรถรางไฟฟ้าวิ่งก่อนหน้าประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายเมืองใน ยุโรป

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง

ท้องเสีย, ฝรั่ง,  ผลไม้, รักษาอาการท้องเสีย



ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที วันนี้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก..

- นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี

- นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้

- นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้.

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิด มหาวิทยาลัยขอนแก่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิด มหาวิทยาลัยขอนแก่น



20 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิด มหาวิทยาลัยขอนแก่น อย่าง เป็นทางการ มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มมีการก่อสร้างในรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี 2507 โดยมีมติจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงด้านวิศวกรรมศาสตร์ และเกษตรศาสตร์ และเสนอชื่อสถาบันนี้ว่า มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อมาในปี 2508 คณะรัฐมนตรีมีมติให้เปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบันเปิดสอน 17 คณะ เปิดสอนในระดับปริญญาตรี โท และเอก สีประจำมหาวิทยาลัยคือสีดินแดง ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยคือดอกกัลปพฤกษ์

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์



19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 วันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระนามเดิมคือ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ พระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาโหมด ต้นราชสกุล "อาภากร" ทรงสำเร็จการศึกษาด้านการทหารเรือ จากประเทศอังกฤษ เมื่อกลับมาเมืองไทยก็ทรงเริ่มวางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือ ก่อตั้งโรงเรียนนายเรือ และฐานทัพเรือ ที่สัตหีบ จนกระทั่งทรงได้รับการเชิดชูให้เป็น "พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย" ภายหลังจากที่ทรงลาออกจากราชการ พระองค์ได้ทุ่มเทเวลาศึกษาตำรายา เพื่อรักษาผู้ป่วยประชาชนทั่วไป โดยไม่เปิดเผยพระองค์ แต่คนทั่วไปจะรู้จักในนาม “หมอพร” ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์กลับมารับราชการต่อ ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ ได้ลาออกเพื่อจะไปทำสวนที่ชุมพร แต่ทรงประชวรเป็นพระโรคหวัดใหญ่ สิ้นพระชนม์ที่ ต.ทรายรี อ.เมืองชุมพร ขณะพระชนมายุได้ 44 พรรษา ปัจจุบันนี้ประชาชนทั่วไปต่างเรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย"

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ดาวเทียมไทยคมดาวเทียมดวงแรกของไทย ถูกส่งขึ้นวงโคจร




18 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ดาว
เทียมไทยคม (THAICOM) ดาวเทียมดวงแรกของไทย ถูกส่งขึ้นวงโคจร จากฐานส่งของบริษัท แอเรียนสเปซ (Arianespace) แห่งฝรั่งเศส ที่เมืองคูรู (Kourou) ประเทศเฟรนช์ เกียนา (French Guiana) ทวีปอเมริกาใต้ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานชื่อ “ไทยคม” เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2534 โดยมาจากคำว่า ไทยคม (นาคม) สร้างโดยบริษัท ฮิวจ์ แอร์คราฟท์ (Hughes Aircraff) สหรัฐอเมริกา สามารถถ่ายทอดได้ทั้งสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรศัพท์ และการสื่อสารข้อมูล ต่อมาได้ชื่อใหม่เป็น “ดาวเทียมไทยคม 1A” ปัจจุบันได้มีดาวเทียมไทยคมทั้งหมด 3 ดวงคือมี ดาวเทียมไทยคม 2 และไทยคม 3 เจ้าของคือกลุ่มชินคอร์ป ซึ่งต่อมาได้ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเสก ของสิงค์โปร์ ดังนั้นเจ้าของเครือข่ายดาวเทียมไทยคมก็คือนายทุนจากสิงคโปร์

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นอนไม่พอ เพิ่มเสี่ยงเบาหวาน



เตือนการนอนกลางวันเป็นประจำ รวมถึงการนอนกลางคืนไม่ถึง 6 ชั่วโมง เพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานประเภท 2

การศึกษากลุ่มตัวอย่าง 16,480 คน พบว่าคนที่นอนกลางวันมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้แอบงีบ ปัจจัยต่างๆ ที่อาจอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ รวมถึงการอนหลับไม่สนิทตอนกลางคืน และความเกี่ยวพันระหว่างการงีบหลับกับกิจกรรมทางร่างกายที่ลดลง

อย่างไรก็ดี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม อังกฤษ และโรงพยาบาลกว่างโจวในจีน แถลงต่อที่ประชุมไดอะบีตส์ ยูเคที่จัดขึ้นในกลาสโกว์ สกอตแลนด์ว่า ปัจจัยสำคัญกว่านั้นเป็นเรื่องของภาวะน้ำหนักเกินและพันธุกรรม

นักวิจัยแจงว่าการงีบหลับตอนกลางวัน อาจส่งผลให้ระยะเวลาการหลับตอนกลางคืนสั้นลง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเบาหวานประเภท 2 นอกจากนี้ การหลับกลางวันยังกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนและกลไกในร่างกายที่หยุดยั้งไม่ ให้อินซูลินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความโน้มเอียงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2

ดร.เอียน เฟรม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยไดอะบีตส์ ยูเค กล่าวว่าเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าคนที่น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 นั้น อาจมีปัญหาในการนอนหลับ แต่งานวิจัยใหม่นี้ อาจเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในการอธิบายความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างการนอน หลับไม่สนิทกับโรคเบาหวานประเภท 2

อย่างไรก็ตาม ในแง่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 การนอนหลับไม่สนิทหรือการนอนกลางวันยังคงมีความสำคัญน้อยกว่าปัจจัยเสี่ยง อื่นๆ เช่น ภาวะน้ำหนักเกิน การมีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติผู้ป่วยโรคเบาหวานในครอบครัว

ทั้งนี้ โรคเบาหวานเป็นอาการร้ายแรงที่อาจนำไปสู่โรคอื่นๆ ในระยะยาว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ตาบอด ไตล้มเหลว และการต้องตัดแขนขา ส่วนอาการระยะสั้น คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่อาจทำให้หมดสติ และระดับน้ำตาลในเลือดสูงถาวรที่อาจถึงแก่ชีวิตหากไม่ได้รับการรักษา

ขณะเดียวกัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบัฟฟาโลในนิวยอร์ก ได้นำเสนองานศึกษาต่อที่ประชุมสมาคมหัวใจแห่งอเมริกา ที่ระบุว่าการนอนหลับคืนละไม่ถึง 6 ชั่วโมงอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานประเภท 2 เช่นเดียวกัน

จากการติดตามผลกลุ่มตัวอย่างนาน 6 ปีพบว่า ผู้ที่นอนน้อยกว่าคืนละ 6 ชั่วโมงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 4.56 เท่าที่จะมีภาวะความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่าคนที่นอนคืนละ 6 - 8 ชั่วโมง

ดร.ลิซา ราฟาลสัน ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า งานศึกษาชิ้นนี้ตอกย้ำหลักฐานที่ชี้ถึงความเกี่ยวพันระหว่างการนอนหลับพัก ผ่อนที่ไม่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพ โดยมีความเป็นไปได้ที่ฮอร์โมนและระบบประสาทเป็นปัจจัยเบื้องหลังความเกี่ยว พันนี้

ดร. นีล สแตนลีย์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการนอนหลับจากโรงพยาบาลนอร์โฟล์กและนอริชในอังกฤษ เห็นด้วยกับงานวิจัยล่าสุด แต่ตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุของเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แม้มีความเป็นไปได้ว่าการนอนหลับไม่เพียงพอเพิ่มความเสี่ยงในการมีน้ำหนัก ตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความเสี่ยงโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นตามไปด้วยก็ตาม

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันกีฬาแห่งชาติ



รัฐบาลได้ทำการส่งเสริมทางด้านการส่งเสริมทางด้าน กีฬาไทยด้วยดีเสมอมา เพราะตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของการเล่นกีฬา นอกจากจะเป็นการออกกำลังกายแล้ว ยังทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง การกีฬายังเป็นเครื่องช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วยปรับปรุงในด้านความคิดและอุปนิสัยให้ประชาชนในชาติ เป็นผู้มีความเสียสละ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และมีความสามัคคีต่อกัน

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทย เข้าร่วม การแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ที่กรุงเทพฯ และทรงชนะเลิศได้รับเหรียญทองในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. ซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ทางการกีฬาของประเทศไทย นอกเหนือจากกีฬาเรือใบแล้ว แบดบินตันก็เป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช ทรงโปรดปรานมากเช่นกัน ในหอประชุมวังจิตรลดาฯ ได้ปรับแต่งเป็นสนามแบดมินตันมาตรฐาน ส่วนมากพระองค์จะทรงแบดมินตันในตอนเย็นและวันศุกร์ และเช้าวันอาทิตย์ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางการกีฬานี้ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกว่า พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงและทรงสนับสนุนกีฬาจนเป็นที่ปรากฏชัด

ดัง นั้นในการประชุมใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลครั้งที่ 29 ที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยมีนายฮวน อันโตนีโอ ซามาร้านซ์ ประธานคณะโอลิมปิกสากล เป็นประธานการประชุมพร้อมทั้งสมาชิกเข้าร่วมประชุมอีก 87 ประเทศ ได้มีมติเอกฉันท์ให้ทูลเกล้าฯถวายเหรียญดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิกสากล คือ "อิสรยาภรณ์โอลิมปิกชั้นสูงสุด" (ทอง) แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ ศาลาดุสิตาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายเหรียญโอลิมปิกชั้นสูง สมควรที่นักกีฬาและประชาชนชาวไทยควรที่จะเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท อันจะเป็นโอกาสให้สามารถนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติและวงศ์ตระกูล

เพื่อ เป็นการระลึกถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าความสำคัญของการกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย จึงได้มีมตินำเสนอคณะรัฐมนตรีลงความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2529 กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน "วันกีฬาแห่งชาติ"

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์น้ำผึ้ง

น้ำหวาน


ประโยชน์น้ำผึ้ง, น้ำผึ้ง, ผึ้ง, น้ำตาล, น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวตอบ น้ำหวาน

จาก ข้อมูลจากวิกิพีเดีย น้ำผึ้ง คือ น้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ กลืนลงสู่กระเพาะซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวง ผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ ระเหยน้ำออกไปจนเข้มข้นเหมาะกับการเก็บรักษา ผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง

น้ำผึ้งมีน้ำประมาณ 20% และน้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโคส ฟลุกโตส และเลวูโรส ประมาณ 79% โดยมีน้ำตาลฟรุกโตสมากกว่าน้ำตาลกลูโคสเล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ

มีกรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5% ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็ก น้อย กรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก นอกนั้นก็มีวิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส) ประมาณ 0.5%

น้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี

ด้วยองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่จึงดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย

น้ำ ผึ้งมีคุณสมบัติทางยา ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะมีความเข้มข้นสูง ช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น

อีก ทั้งน้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น เมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการ อักเสบ

แพทย์แผนโบราณนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลาย ผงยา

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย

ต้านข้ออักเสบ - ผสมน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง

แก้อาการท้องผูก - กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

คนที่นอนไม่หลับ - น้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

บำรุงเลือด - เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซีก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

บรรเทาอาการไอ - บีบ มะนาวฝานสดๆ หนึ่งเสี้ยวเข้าปากให้ลงลำคอ และจิบน้ำผึ้งแท้ หนึ่งช้อนโต๊ะ อมไว้ หรือน้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด 1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง) โดยคั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง

ส่วนคนเป็นเบาหวาน - ปอกเปลือกสาลี่หอมหรือสาลี่หิมะแล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวด ผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้

ลดความดันโลหิตสูง - น้ำ ผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง

นอก จากนั้น น้ำผึ้งยังบำรุงผิวหน้าได้ ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้ง นำกล้วยหอมครึ่งลูกบดผสมกับน้ำผึ้ง แล้วทาบนหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก

การบำรุงผมให้เงางาม หลังสระผมนำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออก

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ก้างปลา ติดคอ ทำไงดี ?

ครที่เคยมีประสบการณ์ “ก้างปลา” ติดคอ คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างดี ว่า การกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นอย่างไร แค่จะกลืนน้ำลายตัวเองสุดแสนจะทรมาน บางรายโชคดี ใช้วิธีดื่มน้ำเยอะ ๆ หรือ กลืนข้าวคำโต ๆ แล้วได้ผล แต่หลายคนใช้สารพัดวิธีก็ไม่หาย สุดท้ายต้องโร่ไปให้หมอช่วยเอาออกก็เยอะ

ก้างปลาติดคอ, ก้างปลา, ก้าง, ปลา, เคล็ดลับดัง นั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ ผู้เขียนจึงมาสัมภาษณ์ ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ผศ. นพ.ปารยะ อธิบาย ว่า ก้างปลาติดคอพบได้ทุกช่วงอายุ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการศึกษาว่าเป็นช่วงอายุใดมากที่สุด และเป็นก้างปลาชนิดใดมากที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่เจอมักจะเป็นปลาทู คงเป็นเพราะประชาชนนิยมบริโภคมากก็เป็นได้ ปลาอื่น ๆ ก็มีมาให้เห็นเหมือนกันแต่ค่อนข้างน้อย

คนไข้ที่มาหาหมอส่วน มาก ก้างปลาติดคอมา 2-3 วันแล้ว ที่ติดคอปุ๊บมาหาหมอทันทีจะน้อย ส่วนใหญ่จะรู้วิธีว่า ต้องดื่มน้ำมาก ๆ หรือกลืนข้าวคำโต ๆ ในบางรายก็ใช้ได้ผล เนื่องจากก้างปลาปักอยู่บริเวณตื้น ๆ พอกลืนข้าวก้างก็ติดลงไปกระเพาะ อาหาร สามารถขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ แต่ถ้าก้างปักลึก การกลืนข้าวคำโต ๆ อาจไปกดก้างให้ปักลึกกว่าเดิม ดังนั้นในรายที่อาการไม่ดีขึ้นจึงมาหาหมอ

เราไม่เคยนับสถิติ จำนวนคนไข้ในแต่ละปี แต่ที่ รพ.ศิริราช น่าจะมีคนไข้ประมาณ 2-3 รายต่อวัน ส่วนใหญ่มักจะมาตอนกลางคืนที่แผนกอุบัติเหตุ หมอทั่วไปตรวจดูแล้วไม่พบก้างปลา ก็จะมาปรึกษาหมอหู คอ จมูก

อาการ คนไข้ก้างปลาติดคอ คือ เจ็บคอ กลืนน้ำลายแล้วเจ็บ ส่วนใหญ่คนไข้จะชี้บอกได้เลยว่า เจ็บตรงไหน บวกกับการซักประวัติ ว่าไปทานแกงปลา ปลาทอด กลืนน้ำลายก็เจ็บทุกครั้ง อันนี้เป็นครูที่จะบอกว่ามีปัญหาก้างปลาติดคอ

คนไข้บางรายปล่อย ทิ้งไว้นาน อาจมาด้วยอาการอักเสบ ติดเชื้อ มีหนอง ในช่องคอ โดยเฉพาะถ้าก้างปลาติดที่หลอดอาหาร ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังของหลอดอาหาร จนเกิดการทะลุของหลอดอาหาร เกิดการอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มระหว่างหัวใจและช่องปอดได้ แต่พบได้น้อย

ตำแหน่งที่พบก้างปลาติดบ่อย คือ บริเวณต่อมทอนซิล บริเวณโคนลิ้น บริเวณฝาปิดกล่องเสียง บริเวณใกล้หลอดรูเปิดทางเดินอาหาร แพทย์หู คอ จมูก จะใช้กระจกเล็ก ๆ เหมือนกับหมอฟัน สวมเฮดไลต์ ที่ศีรษะ ส่องตรวจดู ส่วนใหญ่จะเจอ ก็ใช้อุปกรณ์คีบออกมา

ในบางรายก้างปลา อยู่ลึก คนไข้อาเจียนง่าย ไม่สามารถเอาก้างออกได้ จะพ่นยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วพยายามอีกที ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ทำอย่างไรก็ไม่ออก อาจต้องดมยาสลบ ให้คนไข้นอนแล้วลองดูอีกที แต่ส่วนใหญ่จะสามารถเอาก้างออกได้ที่ห้องตรวจเลย ที่ต้องดมยาสลบมีน้อยรายมาก

ก้างปลาติดคอทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่ ? ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่เคยเจอ ที่เจอมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คือ เจอปักอยู่ที่หลอด

อาหารแล้วทะลุออกมาที่คอ เนื่องจากก้างปลาเป็นวัสดุแปลกปลอม ร่างกายจะผลักมันออกมา บางคนทะลุหลอดอาหารมาถึงผิวหนังที่คอก็มี

มีคำแนะนำให้ฝานมะนาวเป็นชิ้น ๆ นำมาอม หรือ บีบน้ำมะนาวลงคอ ? ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า สมัยก่อนเชื่อว่ามะนาวจะทำให้ก้างอ่อนลง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ก็พูดลำบาก เพราะถ้าก้างปลามีแคลเซียมเยอะ ก็คงยากที่มะนาวจะกัดกร่อนหรือสลายไปได้

ท้ายนี้ขอแนะนำว่า การกินปลาทุกครั้งควรมีสติ คือ เอาก้างออกก่อน แล้วกินช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ กลืน เพราะจากที่เคยสอบถามคนไข้ส่วนใหญ่ มักจะกินไปคุยไป ไม่ทันได้ดูว่าปลาที่ตักใส่ปากมีก้างหรือไม่ พอรีบเคี้ยวรีบกลืนก็เลยทำให้ก้างติดคอ.

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คุณประโยชน์ของน้ำข้าว

น้ำข้าว เป็นผลพลอยได้จากการหุงข้าวด้วยเตาถ่านที่เรียกว่า หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ ค่ะ

คุณประโยชน์ของน้ำข้าว



การหุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะต้องใช้หม้อใส่ข้าวสารตั้งบนเตาถ่าน เมื่อ เมล็ดข้าวเริ่มแตกจนสุกนิ่มไปทั้งเมล็ดจึงรินน้ำออกแล้วนำหม้อข้าวไปตั้งไฟ อ่อนๆ เพื่อให้น้ำข้าวในหม้อแห้งสนิทและข้าวสุกบางคนที่อยากจะทานน้ำข้าวก็คอยตะ แตงหม้อไปรอบๆ หรือเรียกในภาษาที่เข้าใจง่ายว่า “ดงข้าว” คนที่อายุมากกว่า ๓๐ ปี จะทราบดีถึงเรื่องของ “น้ำข้าว”

โดยเฉพาะประโยชน์ของ “น้ำข้าว” ที่ว่ากันว่าเป็นอาหารอย่างดีสำหรับคนป่วย เมื่อคนไข้จะรู้สึกเบื่ออาหาร เพราะเกิดจากการเสียสมดุลของระบบย่อยอาหาร เพราะเป็นธรรมดาของคนที่ไม่สบายย่อมไม่รู้สึกอยากกินอะไร น้ำข้าวจึงเป็นอาหารชั้นดีของคนป่วยค่ะแต่ สำหรับคนปกติที่ไม่ป่วยแล้ว ก็สามารถทาน “น้ำข้าว” ได้ค่ะ

เพราะมีคุณค่าและสารอาหารมากมายเช่นเดียวกับ“ข้าว” อีก ทั้งย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืด ท้องเสียและร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารและซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอได้ ทันที คนป่วยจึงสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นค่ะ

แต่สำหรับคนที่ ถวิลหา “น้ำข้าว” ในยุคอดีต อยากจะทานน้ำข้าวในยุคนี้ ไม่จำเป็นจะต้อง หุงข้าวแบบเช็ดน้ำแล้วก็ได้ค่ะ เพราะเวลานี้มีน้ำข้าวชนิดผงพร้อมชง ที่มีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินอีสูงทานน้ำข้าววันละนิด ร่างกายแข็งแรงค่ะ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"ฮัดเช้ย"แค่1ที ทำ150คนติดหวัด

หวัด, ป่วย, เป็นไข้, จาม, ฮัดเช้ย, สุขภาพ,ร่างกาย, ปวดหัว, ตัวร้อน



อากาศ หนาวๆ อย่างนี้ คนเป็นหวัดกันเยอะ ดร. รอเจอร์ เฮนเดอร์สัน เจ้าของคอลัมน์ความรู้เรื่องการแพทย์จากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ ทำการศึกษาและพบว่า แค่คนจามเพียง 1 ครั้งในรถเมล์ รถไฟใต้ดิน จะทำให้ผู้โดยสารกว่า 150 คน มีความเสี่ยงในการเป็นหวัดภายในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น ยกเว้นว่าใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก เนื่องจากเชื้อจะลอยไปติดตามราว ที่นั่ง และพื้นผิวอื่นๆ

ดร. เฮนเดอร์สัน กล่าวว่า "การจาม 1 ครั้งจะพ่นละอองถึง 100,000 ละลอง เข้าไปในอากาศ ด้วยความเร็ว 90 ไมล์ต่อชั่วโมง"

จาก การศึกษาพบว่า เมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว ผู้ที่ทำงานอยู่ที่บ้านเป็นหวัดแค่ 58% ผู้ที่ออกไปข้างนอกเกือบทุกวันและเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเป็นหวัด 99% เดินทางด้วยรถเมล์เป็นหวัด 98% เดินทางด้วยรถไฟเป็นหวัด 96% ส่วนผู้ที่เดินไปทำงานเป็นหวัด 88%

การสำรวจยังพบว่า ผู้โดยสาร 20% ไม่ชอบใจเมื่อมีผู้จามโดยไม่มีผ้าเช็ดหน้าปิดปาก 33% ไม่ชอบใจเมื่อมีผู้จามไม่ใช้มือป้องปาก ส่วนใหญ่ผู้ชายไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือมือป้องปาก

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส


ซ่อนกลิ่นกลิ่นแก้วซ่อน นาสา เรียมฤๅ

ตาดว่าตาดพัสตรา หนุ่มเหน้า

สลาสิงเล่ห์ ซรองสลา นุชเทียบ ถวายฤๅ

สวาดิดังเรียมสวาดิเจ้า จากแล้วหลงครวญ ฯ …”

ลิตตะเลงพ่าย พระนิพนธ์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระปรมานุชิตชิโนรส

วันที่ ๑๑ ธันวาคม ของทุกปี เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักปราชญ์ราชบัณฑิต นักศึกษา และนักเรียนว่าเป็น "วันกรมปรมานุชิตชิโนรส" หรือวันคล้ายวันประสูติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส "มหาสังฆปรินายก ปธานาธิบดีแห่งสงฆ์" ผู้ทรงเป็นปราชญ์ทั้งคดีโลกและคดีธรรม ได้ทรงพระนิพนธ์ ปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย สมุทโฆษคำฉันท์ เวสสันดรชาดก และวรรณกรรมที่เลื่องลืออีกหลายเล่ม ที่นับถือกันว่าเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของไทยในด้านพระพุทธศาสนาและวรรคดี

ประวัติ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจุ้ย ณ วันเสาร์ เดือนอ้าย ขั้น ๕ ค่ำ ปีจอ จุลศักราช ๑๑๕๒ ตรงกับวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๓๓ มีพระนามเดิมว่า "พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี" เมื่อประสูตินั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระชนมายุ ๕๓ พรรษา ครองราชสมบัติมาแล้ว ๘ ปี

ครั้นพระองค์เจ้าวาสุกรีทรงเจริญพระชันษาได้ ๑๒ ก็ทรงละฆราวาสวิสัยออกผนวชเป็นสามเณรเมื่อปีจอ พุทธศักราช ๒๓๔๕ โดยผนวชเป็นหางนาค ณ วัดพระศรีสรเพ็ชญ์ (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) ครั้นผนวชแล้วจึงเสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในระหว่างที่ผนวชเป็นสามเณรอยู่นั้น ได้ทรงศึกษาในสำนักสมเด็จพระพนรัตน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงศึกษาอักษรทั้งไทย ขอม ภาษามคธ (บาลี) โบราณคดี ตลอดจนวิธีทำเลขยันต์ต่างๆ ตามคตินิยมในสมัยนั้น ครั้นทรงผนวชเป็นพระภิกษุได้ ๓ พรรษา ลุปีพุทธศักราช ๒๓๕๗ สมเด็จพระพนรัตนถึงแก่มรณภาพในระหว่างพรรษา ยังไม่ทันจะได้โปรดให้พระเถระรูปใดเป็นอธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯครั้นออก พรรษาแล้ว ในช่วงเวลาพระกฐิน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จไปพระราชทานพระกฐินถึงวัดพระเชตุพนฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเป็นพระราชาคณะด้วย

สมเด็จฯกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงรับกรมครั้งแรกในรัชกาลที่ ๒ เป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์ เมื่อราวปีชวด พุทธศักราช ๒๓๕๙ และในขณะที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นอยู่นี้ ได้ทรงทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ของเจ้านายหลายพระองค์ อาทิ พระบาทสมเด็จพระกรมหมื่นอยู่นี้ ได้ทรงทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ของเจ้านายหลายพระองค์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่นั้น ทรงเคารพเลื่อมใสในสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าจะมีพระชนมายุแก่กว่าพระองคเพียง ๑๔ พรรษาก็ตาม แต่ก็ทรงตั้งอยู่ในฐานะเป็นพระปิตุลา สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงตั้งพระองค์อยู่ในฐานะเป็นครุฐานียบุคคลในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างสูง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลาสิกขา เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๙๔ แล้ว ก็ได้ทรงสถาปนา สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ขึ้นเป็น "กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส"

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในปีพุทธศักราช ๒๒๓๙๔ นั้น สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตโนรสมีพระชนมายุได้ ๖๑ พรรษา ทรงพระประชวรหนักครั้งหนึ่ง ครั้นต่อมาอีก ๒ ปี พระองค์ก็ได้ประชวรพระโรคชรา และสิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๒๑๕ เวลาบ่าย ๓ โมง ตรงกับวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๙๖ สิริรวมพระชนมายุได้ ๖๓ พรรษากับ ๔ วัน และในฐานะที่ทรงเป็นประมุขที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศรัทธา มาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพจากวัดพระเชตุพนไปประดิษฐาน ณ พระเมรุที่ท้องสนามหลวง แล้วพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๕ พุทธศักราช ๒๓๙๗ เมื่อพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพะจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ที่พระตำหนักวัดพระเชตุพน และโปรดให้มีตำแหน่งฐานานุกรมรักษาพระอัฐิต่อมา

ถึงเวลาเข้าพรรษา พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปถวายพุ่มบูชาพระอัฐิทุกปี เมื่อถึงวันเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐินที่วัดพระเชตุพน ก็โปรดฯ ให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานที่ในพระอุโบสถ ทรงสักการะบูชาแล้วทอดผ้าไตรปี โปรดฯ ให้พระฐานานุกรมพระอัฐิสดับปกรณ์เป็นประเพณีเช่นนี้ตลอดมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ จนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบันนี้

สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงตั้งพระองค์อยู่ในฐานะเป็นครุฐานียบุคคลในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างสูง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลาสิกขา เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๙๔ แล้ว ก็ได้ทรงสถาปนา สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ขึ้นเป็น "กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส"

กรณียกิจ

ในรัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกแผ่นศิลาประดับไว้ในวัดพระเชตุพนฯ โดยจารึกตำราวิชาการต่างๆ ในการจารึกแผ่นศิลาประดิษฐานไว้ในบริเวณวัดพระเชตุพนฯ ครั้งนี้ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่างๆ เป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ ไว้หลายเรื่อง ทั้งยังได้ทรงพระนิพนธ์โคลงดั้นบาทกุญชรและ โครงดั้นวิวิธมาลี สรรเสริญพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพนฯ จารึกไว้ในวัดพระเชตุพนอีกเรื่องหนึ่งด้วย

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสนั้น ทรงได้รับคำสดุดีว่าเป็น จินตกวีไทยอย่างยอดพระองค์หนี่ง งานพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสมีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ที่เป็นร้อยแก้ว เช่น พระปฐมสมโพธิ พระธรรมเทศนาพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นแล้วเป็นร้อยกรองที่ทรงเชี่ยวชาญและทรงถนัดมากคือฉันท์ เช่น กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ สรรพสิทธิ์คำฉันท์ สมุทรโฆษคำฉันท์ ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างพัง โดยเฉพาะที่เป็นแม่บท ทรงแต่งตำราฉันท์มาตราพฤติและวรรณพฤติในจำนวนพระนิพนธ์ทั้งหมด เรื่องที่ได้รับการยกย่องทางร้อยกรองว่าดีเยี่ยมที่สุด ได้แก่ ลิลิตตะเลงพ่าย ซึ่งเป็นวรรณคดีที่ดีเลิศทางกระบวนกลอนลิลิตอีกเรื่องหนึ่งด้วย ส่วนพระนิพนธ์ร้อยแก้ว ที่ยอดเยี่ยมที่สุดน่าจะได้แก่ เรื่อง พระปฐมสมโพธิกถา ซึ่งผู้อ่านจะได้อรรถรสทั้งภาษาและวรรณคดี นอกเหนือไปจากเนื้อหาที่เป็นพระพุทธประวัติอีกด้วย

พระราชนิพนธ์บทหนึ่งของพระองค์ที่แสดงถึงลักษณะการประพันธ์คำประพันธ์ที่ทรง ใช้ในการนิพนธ์ เรียกว่า ลิลิต เป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ โคลงที่ใช้มีทั้ง โคลง ๒ โคลง ๓ และโคลง ๔ ตอนท้ายเป็นโคลงกระทู้ซึ่งเป็นลักษณะคำประพันธ์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิยมใช้ในการนิพนธ์ปิดท้ายวรรณคดีที่ทรงนิพนธ์ เกือบทุกเรื่อง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์วรรณคดีเรื่องนี้ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวใน โอกาสที่ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน เมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๕ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาของประชาชน โดยรวบรวมสรรพวิชาการสาขาต่างๆ จารึกบนแผ่นศิลาในวัดพระเชตุพน ดังที่ทรงระบุไว้ในโคลงท้ายเรื่อง ดังนี้

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก

สถาบันแบล็คสมิธ (BlacKsmith Institute) องค์กรวอทช์ด๊อกด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ผลการสำรวจ 10 เมืองที่มีภาวะมลพิษมากที่สุดในโลกประจำปี 2007 จากการศึกษาข้อมูลภาวะมลพิษใน 400 เมืองทั่วโลก

ข้อมูลจากหลาย ๆ เมืองได้มาจากประชากรในเมืองนั้น ๆ เอ็นจีโอและรัฐบาลท้องถิ่น โดยพิจารณาจากปัจจัยความเป็นพิษ ระดับความมากน้อยของมลพิษและจำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบ

หลังจาก นั้นนำมาจัดลำดับเมืองที่มีภาวะมลพิษมากที่สุดในโลกจำนวน 10 เมือง รายงานนี้ระบุว่า มีประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมลพิษที่เกิดจากอุตสาหกรรมผลิตสารเคมี โลหะหนักและเหมืองแร่ซึ่งทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคเรื้องรังและตายก่อนวัยอัน สมควรราว 12 ล้านคนมาดูกันว่ามีเมืองใดบ้าง

เมือง ซัมกายิต ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเคมีการเกษตร ซึ่งรวมทั้งยางสังเคราะห์ อลูมิเนียม และยาฆ่าแมลง โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสารเคมี น้ำมัน และโลหะหนักปล่อยมลพิษสู่อากาศปีละ 70-120,000 ตัน มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 275,000 คน อัตราผู้ป่วยโรคมะเร็งของเมืองนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 22-51% การเปลี่ยนแปลงของยีนรวมทั้งเด็กพิการแต่กำเนิดถือเป็นเรื่องปกติ

ข้อมูลเพิ่มเติม 10 อันดับ เมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก ที่นี่

http://happyuniversity.rmutl.ac.th/index.php?topic=27.0


วันรัฐธรรมนูญไทย

วันรัฐธรรมนูญ ตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกคล้ายวันที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย รายได้เสริมทำผ่าน
ความเป็นมา
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราช ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันมาเป็นเวลา ๗๐๐ ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของ ประเทศ


สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วยพระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ

๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

๔. รัฐบาลได้ออกกฎหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร

จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารซึ่งประกอบด้วยพันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์เป็นผู้บริหารประเทศ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว” สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎร ทั้งหลายการใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ

๑. พระมหากษัตริย์

๒. สภาผู้แทนราษฎร

๓. คณะกรรมการราษฎร

๔. ศาล

ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระ มหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์โดยได้รับความ ยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงจะมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดี ให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็ มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญ ของรัฐซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎร เลือกตั้งใหม่ในส่วนเกี่ยวกับพระมหา กษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะ ละเมิดมิได้

สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว ๕ ฉบับ ฉบับสุดท้ายคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘



พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญ

[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]
รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งโปรดเกล้าฯให้จัดเป็นที่ประชุมรัฐสภา แล้วได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพระราชทานเป็น กฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ จึงได้ถือเป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติ มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฉลอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ทุกปีสืบมางานนี้เป็นงานพระราชพิธีและรัฐพิธีร่วมกัน

ในการประกอบพระราชพิธีประจำปีนั้น ที่ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม ตั้งพระที่นั่งพุดตานสลักปิดทอง เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่ ๗ ขึ้นประดิษฐาน และเชิญฉบับรัฐธรรมนูญวางบนพานทองสองชั้นเข้าในมณฑลพิธีแวดล้อมด้วยต้นไม้ ทอง - เงิน พร้อมด้วยเครื่องนมัสการและที่ทรงกราบ

เวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิตรถยนต์พระที่นั่งผ่านประตูทวยเทพสโมสร กองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเทียบรถยนต์พระที่นั่งที่บันได้ท้องพระโรง หลัง ณ ที่นี้ประธานรัฐสภารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ขึ้นสู่ท้องพระโรงหลังซึ่งเป็นมณฑลพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล แล้วพระสงฆ์ ๑๕ รูป (พระสงฆ์ถือตามเกณฑ์เมื่อครั้งงานฉลองพระราชทานรัฐธรรมนูญปีแรก ขณะนั้นมี ๑๒ กระทรวง การปฏิบัติพระสงฆ์จึงมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประธานรัฐสภาพ นายกรัฐมนตรี และเสนาบดี ๑๒ กระทรวง จึงเป็น ๑๕ รูป) เจริญพระพุทธมนต์ มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่สมเด็จพระสังฆราช พระสงฆ์ นอกนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ประธานรัฐสภาถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปประทับรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อรถยนต์พระที่นั่งผ่านประตูทวยเทพสโมสร กองเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เสด็จพระราชดำเนินกลับ

พระราชพิธีนี้แต่งกายเครื่องแบบเต็มยศ สายสะพายช้างเผือก

อนึ่งทางรัฐสภาได้ขอพระบรมราชานุญาติหล่อพระบรมราชานุสรณ์ไว้ที่หน้าตึก ประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ในพระราชพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ดังนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราช กุศลที่พระที่นั่งอนันตสมาคม จะได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพุ่มดอกไม้และทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ก่อน แล้วจึงเสด็จฯไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ก่อน แล้วจึงเสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ รัฐบาลได้ประกาศเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สำคัญของชาติ มีการถวายบังคมพระบรมรูปเป็นงานประจำ

(คัดจากหนังสือศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๑ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม กรุงรัตนโกสินทร์)

วิธีถนอมดวงตาขั้นพื้นฐาน

สายตา, ถนอมดวงตา, คอมพิวเตอร์, วิชั่น ซินโดรม, จอคอมพิวเตอร์ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะมีปัญหาสายตาหรือไม่ รศ.นพ.อนันต์ วงศ์ทองศรี จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการรักษาสายตาผิดปกติ ด้วยวิธีเลสิก ก็ยังแนะนำให้ทุกท่านดูแลดวงตาของตนเองด้วยวิธีง่าย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้สายตาเกิดปัญหาจากการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าว หรือที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม

เริ่มจากการใช้สายตามองจอคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก ๆ ½ หรือ 1 ชั่วโมง นาน 5 – 10 นาที โดยหันหน้าออกจากจอคอมพิวเตอร์เพื่อมองสิ่งอื่น ๆ เช่น ต้นไม้สีเขียว ให้รู้สึกสบายตา ลดความเมื่อยล้าของดวงตา และเพื่อป้องกันอาการตาแห้งที่มักทำให้รู้สึกแสบตาร่วมกับอาการน้ำตาไหลให้กระพริบตาถี่ ๆ ระหว่างมองจอคอมพิวเตอร์จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้

ส่วนเรื่องของอาหารการกินที่เป็นประโยชน์กับดวงตา ให้รับประทานอาหารที่มีวิตามิน แคโรทีน วิตามินบี และเอบี ผักใบเขียวทุกชนิดไม่ใช่แค่ผักบุ้งตามความเชื่อเท่านั้น และที่สำคัญไม่แพ้อาหารคือการพักผ่อนด้วยการนอนหลับอย่างเพียงพอ ป้องกันดวงตาขุนหมองอิดโรยและเหนื่อยล้า

สุดท้ายสำคัญเพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปหลังจากโลกร้อนขึ้นพาให้แสงแดดยิ่งร้อนแรงสว่างจ้าจนสายตาสู้ไม่ไหว ดังนั้นจึงควรสวมแว่นกันแดดเพื่อลดทอนแสงยูวีถือเป็นการถนอมจอประสาทตา ทั้งยังช่วยป้องกันฝุ่นละอองที่พัดมากับลมได้

เพียง แค่ดูแลดวงตาตามข้อควรปฏิบัติขั้นพื้นฐานก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด ปัญหาสายตา ส่วนผู้ที่มีปัญหาสายตาอยู่แล้ว ก็จะช่วยหยุดยั้งไม่ให้ปัญหารุนแรงขึ้นได้.

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีแก้ปัญหาอาการ Computer Vision Syndrome

วิธีแก้ปัญหาอาการ Computer Vision Syndrome มีดังนี้

1. การจัดสิ่งแวดล้อม ได้แก่การจัดวางโต๊ะคอมพิวเตอร์ให้จอคอมพิวเตอร์อยู่ในระยะที่ห่างจากลูกตา ประมาณ 20 – 24 นิ้ว วางในระดับที่ต่ำกว่าระดับตาประมาณ 10 – 20 องศาเพื่อจะได้ไม่ต้องเหลือบตาขึ้นสูง ความสว่างของห้องต้องเพียงพอ อย่าใช้คอมพิวเตอร์ในห้องที่มืด ความสว่างในห้องหรือบริเวณโดยรอบจอคอมพิวเตอร์ต้องใกล้เคียงกัน แสงไฟไม่ควรส่องมาจากทางด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญห้ามส่องตรงเข้าหาจอคอมพิวเตอร์เพราะจะทำให้เกิดแสงแตกกระจาย ผู้ที่จ้องมองจอเป็นเวลานานๆจะเกิดอาการแสบตาและปวดล้าในที่สุด นอกจากนี้ยังอาจใช้แผ่นกรองแสง (Anti-reflection screen filter) ที่มีขายตามท้องตลาดวางด้านหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยลดแสงสะท้อนและแสง ที่แตกกระจายด้วย เป็นต้น

2. การควบคุมรวมทั้งการใช้งานจอคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรจะปรับให้สว่างเท่าๆกับความสว่างของห้อง ส่วนการแยกความแตกต่าง(Contrast) ของหน้าจอซึ่งเราสามารถปรับที่จอคอมพิวเตอร์ได้นั้นควรจะปรับให้สูงสุดเท่า ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ยังรู้สึกสบายตา ขนาดของตัวหนังสือควรจะมีขนาดประมาณ 3 เท่าของขนาดตัวหนังสือที่เล็กที่สุดที่ท่านยังสามารถอ่านได้จากจอ คอมพิวเตอร์ในระยะเดียวกัน ส่วนสีของตัวหนังสือควรเป็นสีดำบนพื้นสีขาวจะเหมาะสมที่สุด นอกจากนั้นควรวางกระดาษหรือหนังสือที่จะต้องดูให้อยู่ในแนวเดียวกับจอ คอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันจะมีการใช้ตัวยึดด้านข้างจอคอมพิวเตอร์ที่สามารถหนีบกระดาษ หรือหนังสือที่ต้องดู เพื่อจะได้ไม่ต้องก้มๆเงยๆมองระหว่างจอคอมพิวเตอร์กับหนังสือหรือกระดาษที่ จะต้องดูเป็นต้น

3.การแก้ปัญหาทางตา เมื่อเราทราบแล้วว่าการใช้คอมพิวเตอร์แล้วทำให้การกระพริบตาลดน้อยลง ดังนั้นควรตระหนักในข้อนี้เสมอ บอกตนเองให้มีนิสัยในการกระพริบตาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก นอกจากนี้ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำก็จะต้องปรับนิสัยตัวเองให้มีการ คลายกล้ามเนื้อที่ใช้ในการมองใกล้ โดยบังคับให้มองไปในที่ไกลๆนานประมาณ 1-2 นาทีเช่นการมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราวหรืออย่างน้อย 1-2 ครั้งทุกชั่วโมง หรือให้มีการหยุดพักการทำงานทุกชั่วโมงประมาณ 5-15 นาที เป็นต้น การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหาตาแห้งได้ แนะนำให้ใช้ได้เมื่อรู้สึกเมื่อยล้า แสบตาหรือตาแห้งเป็นครั้งคราว

4.ในผู้ที่อายุเริ่มมีสายตายาวตามอายุ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะพบอาการจากการใช้ Computer ได้มากกว่าในกลุ่มอายุน้อย ควรใส่แว่นแก้ไขสายตาที่เหมาะสม ในวัยนี้โดยปกติจะมีแว่นตาที่ใช้ในการมองที่ใกล้หรือแว่นตา 2 ชั้นซึ่งมีครึ่งบนไว้มองไกลส่วนครึ่งล่างสำหรับมองใกล้ บางรายอาจมีปัญหาในการมอง Computer เนื่องจากระยะที่ไว้มองใกล้เพื่ออ่านหนังสือนั้นอยู่ใกล้เกินไป ทำให้มองในระยะ Computer ซึ่งห่างจากตาออกมาอีกระดับหนึ่งไม่ชัดเท่าการอ่านหนังสือ การเปลี่ยนมาเป็น Progressive lens ซึ่งมีช่วงการมองหรือจุดโฟกัสหลายระดับโดยเฉพาะที่สำคัญคือระยะ กลาง(Intermediate Zone) ซึ่งเป็นตำแหน่งของจอคอมพิวเตอร์ จะทำให้เห็นได้สบายตาในทุกระยะซึ่งจะมีประโยชน์มาก หรือในบางรายที่ใช้ Computer มากๆอาจมีแว่นที่ใช้สำหรับมอง Computer โดยเฉพาะอีกแว่นหนึ่ง นอกจากนี้หากใช้แว่นตาก็ควรจะเคลือบสารที่ป้องกันการสะท้อน(Anti-Reflective Coat) จะช่วยลดการสะท้อนของแสงเข้าตาได้อีกระดับหนึ่ง

5.การแก้ปัญหาปวดคอ ปวดไหล่และปวดหลัง นอก จากจะจัดระดับจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมดังกล่าวแล้ว ท่านั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็มีความสำคัญ ควรจะต้องนั่งตัวตรง หลังเอนไปด้านหลังเล็กน้อย แขนทั้งสองในขณะกดแป้นพิมพ์ให้อยู่ในแนวขนานกับพื้น ส่วนเท้าควรวางราบกับพื้น

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Computer Vision Syndrome


ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ทั้งเพื่อประโยชน์ในการทำงาน อำนวยความสะดวก รวมถึงเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อย่างไรก็ตามการใช้คอมพิวเตอร์อาจมีผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะสุขภาพทางตาที่เรียกว่า โรคตาจากจอคอมพิวเตอร์ (CVS หรือ Computer Vision Syndrome)

คือกลุ่มอาการทางตาที่ประกอบไปด้วยอาการปวดตา แสบเคืองตา เมื่อยตา น้ำตาไหล ตาแดง ตามัวมองเห็นภาพซ้อนหรือมองเห็นภาพไม่ชัด ภายหลังจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นอกจากนี้การใช้ Computer อาจทำให้เกิดปัญหาทางระบบกล้ามเนื้อเนื่องจากลักษณะ ท่านั่งในการใช้งาน เช่นการปวดต้นคอ ปวดข้อมือ ปวดหลัง ซึ่งจะไม่ได้กล่าวอย่างละเอียดในที่นี้

พบอุบัติการณ์ของกลุ่มอาการนี้มากถึง 70-80% ของจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหมด จักษุแพทย์มักเป็นผู้ที่ต้องให้การวินิจฉัยโรคนี้ ซึ่ง ผู้ป่วยมักมีอาการต่างๆที่กล่าวมาแล้วนั้น แต่อาการอาจแสดงไม่ชัดเจนนัก บางรายอาจมีเพียงอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าอย่างเรื้อรังคล้ายความผิดปกติ ที่เกิดจากความเครียด ดังนั้นท่านผู้อ่านอาจพิจารณา จากอาการดังกล่าว ร่วมกับถามตัวเองว่าท่านใช้คอมพิวเตอร์บ่อยมากน้อยเพียงใด ซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการนี้มักจะพบว่ามีการใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องต่อวันเป็นประจำ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ จักษุแพทย์คงต้องหาสาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการล้าในตา ปวดตา ไม่สบายตา รวมทั้งปวดคอ ไหล่ และหลังก่อน

ปัจจุบันมีผู้มีปัญหาโรคตาจากจอคอมพิวเตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยแบ่งเป็นกลุ่มอาการใหญ่ๆ ดังนี้

1.ปัญหาปวดตาหรือเมื่อยตา (Eye Strain, Tired Eye) เกิดจากการเพ่งใช้สายตาติดต่อกันอย่างยาวนาน ทำให้มีอาการเมื่อยล้าจากการใช้สายตา โดยปรกติการอ่านจาก Computer Monitor เราต้องเพ่งมากกว่าปกติเนื่องจาก ตัวหนังสือเกิดขึ้นเกิดจากจุดหลายจุดมาต่อกัน ไม่เหมือนกับการอ่านตัวหนังสือที่พิมพ์บนกระดาษซึ่งจะชัดเจนมากกว่า ข้อแนะนำคือ ควรมีการหยุดพักสายตาเป็นระยะ โดยทุกๆ 20 ถึง 30 นาที ให้พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ โดย มองไปบริเวณพื้นที่กว้างหรือนอกหน้าต่างหรือหลับตา เพื่อลดการเพ่งของสายตาประมาณ ครึ่งถึง 1 นาที ก่อนกลับมาเริ่มทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ต่อไป

2.ปัญหาเคืองตา แสบตา (Ocular Surface Problems)ปกติตาคนเราจะมีน้ำตาเคลือบผิวอยู่ตลอดเวลาเป็นการหล่อเลี้ยงตา ช่วยในเรื่องการหักเหของแสงที่เข้าตาทำให้มองเห็นชัด แต่ถ้าเมื่อใดน้ำตาเคลือบผิวตาได้น้อยกว่าปกติก็จะเกิดอาการตาแห้ง มีอาการแสบตา เคืองตา ตาแดง มีตาพร่ามัวเป็นพักๆได้ ปัญหาเคืองตาจากการใช้คอมพิวเตอร์อาจเกิดจาก การที่เราใช้ตาดูจอคอมพิวเตอร์นานๆ เรามักจะจ้องอย่างต่อเนื่องเป็นผลให้การกระพริบตาลดน้อยลงอย่างมากถึง 66 % เมื่อเทียบกับปกติ จากการที่มีสมาธิอย่างมาก รวมทั้งมีระยะการกลอกตาค่อนข้างจำกัด ผลก็คือทำให้เกิดน้ำตาระเหยออกไปมาก ก่อให้เกิดปัญหาตาแห้งตามมา ซึ่งก็เป็นตัวก่อให้เกิดอาการไม่สบายตา เมื่อยล้า ตาสู้แสงไม่ได้ นอกจากนี้อาการเหล่านี้ยังเป็นผลมาจากแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ รวมทั้งแสงสว่างที่ไม่เหมาะสม ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งควรมีการกระพริบตาประมาณ 10 - 15 ครั้งต่อนาทีเพื่อป้องกันภาวะตาแห้ง หรือเมื่อรู้สึกเคืองตา แสบตา ให้หลับตาพัก 3-5 วินาที เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาจากเปลือกตาบนด้านในมาฉาบให้ความชุ่มชื้นต่อลูก ตา แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาชนิดน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาเทียมเพื่อบรรเทาปัญหาดัง กล่าวได้

3.ปัญหาตามัว ( Blurred Vision) เป็นปัญหาที่มักพบในผู้ที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไป โดยทั่วไปมักไม่ได้มีผลต่อเสียต่อสายตาอย่างถาวร แต่การใช้สายตาเพ่งเกมหรือคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการปวดเมื่อยตา ศีรษะ และทำให้มีการเพ่งตาค้าง เกิดภาวะคล้ายสายตาสั้น คือมองไกลไม่ชัด แต่มักเป็นอยู่เพียงชั่วคราวก็จะกลับสู่ภาวะปกติ ดังนั้นแม้ว่าการเล่นเกมหรือเพ่งมากๆจะไม่ทำให้สายตาสั้นอย่างถาวร แต่ก็ควรใช้แต่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพของตา

4.ปัญหามองเห็นภาพซ้อน (Double Vision) เมื่อใช้งานเป็นเวลานานมากๆ เฉลี่ยมากกว่า 3.5 ชั่วโมง อาจเกิดการเพ่งมากจนกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า จึงพบอาการมองเห็นเป็นภาพซ้อนได้ ซึ่งมักดีขึ้นหลังจากได้พักสายตา


วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

งูหายใจทางไหน?

ระบบหายใจ งู หายใจเข้าและออก โดยผ่านปาก และหลอดลม เชื่อมกับปอดที่อยู่ด้านขวาข้างเดียว ยกเว้น พวก Boa และ Python ที่มีปอดซ้าย

ด้วย เพื่อช่วยในการหายใจ


โดย ปกติงูจะมีปอดขวาที่ใหญ่ โดยเฉพาะพวกงูน้ำ จะมีปอดข้างขวาใหญ่เป็นพิเศษ ช่วยควบคุมการลอยตัวน้ำได้ แต่งูบางสายพันธุ์ที่มีปอดด้านซ้าย ที่เชื่อมต่อกับปอดขวาจะทำให้งูชนิดนั้น เก็บอากาศได้มากว่าปกติ เมื่อต้องขยอกเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งไม่สามารถหายใจได้ในเวลานั้น ทำให้มันสามารถกั้นหายใจได้นาน

ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม

http://www.2snake2fish.com/snake/trip/anatomy-movement.htm

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อความทวิตเตอร์ WeLoveKing อันดับ1โลกครั้งแรก

ข้อความทวิตเตอร์ WeLoveKing อันดับ1โลกครั้งแรก

คนไทยออนไลน์แสดงให้โลกรับรู้ถึงพลังความรักในหลวง ดัน "WeLoveKing"ติดอันดับหนึ่งโลกในทวิตเตอร์ ขณะที่สื่อต่างชาติหลายสำนักต่างพากันรายงานข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยกในหลวงคือพลังแห่งเสถียรภาพตลอดช่วง 6 ทศวรรษที่อยู่ในราชบัลลังก์

สังคมคนไทยออนไลน์ทั่วโลกแสดงพลังความรัก สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านทวิตเตอร์ โดยในเวลา 20.29 น. วันที่ 5 ธันวาคม 2552 ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ สามารถทำให้คำว่า #WeLoveKing ขึ้นอันดับหนึ่งในโลกทวิตเตอร์ที่มีการพิมพ์และค้นหามากที่สุดในโลกเป็น ครั้งแรก มากกว่าคำว่า "คริสต์มาส" หลายช่วงตัว

ทั้งนี้เมื่อเวลา 19.29 น. วันที่ 5 ธันวาคม ช่วงเวลาจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล คนไทยทั่วโลกที่ใช้ทวิตเตอร์นับแสนคนได้ร่วมใจกันถวายพระพรพร้อมกันด้วยคำ ว่า"#WeLoveKing"จนกระทั่งในเวลา 20.29 น. คำว่า #WeLoveKing ได้ขึ้นอันดับหนึ่งบนทวิตเตอร์ ปรากฏอยู่ใน Trending Topics ซึ่งเป็นหมวดที่คนเข้าไปค้นหาและให้ความสนใจมากที่สุด ผ่านสายตาคนทั่วโลกที่ใช้ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊กรวมกันนับร้อยล้านคน

สำหรับ #WeLoveKing หมายถึง การที่มีคนสนใจที่จะเข้ามาถวายพระพรและแสดงความจงรักภักดี จะใช้ #WeLoveKing อยู่ในการส่งข้อความทวิต และในช่วงเวลานั้นมีผู้ใช้ทั่วโลกร่วมใจกันทวิตพร้อมๆ กันจำนวนนับแสนครั้ง ทั้งนี้ #nowplaying ซึ่งเป็นข้อความเกี่ยวกับเกมต่างๆ ซึ่งกลุ่มคนเล่นเกมทั่วโลกใช้สนทนาได้ตกเป็นอันดับสอง

ด้านสื่อต่างชาติต่างพากันรายงานข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม โดยได้หยิบยกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเด็นที่มีพระราชกระแสรับสั่งว่า "ความสุข ความสวัสดี ของข้าพเจ้าเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญ มั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญ"

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือพลังแห่งเสถียรภาพตลอดช่วง 6 ทศวรรษที่อยู่ในราชบัลลังก์

ด้านสำนักข่าวเอพีก็รายงานข่าวในทำนองเดียวกัน แต่เสริมว่า พสกนิกรจำนวนมากมาที่โรงพยาบาลศิริราชกันตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม เพื่อรอโอกาสที่จะได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันนี้ (5 ธ.ค.) โดยผู้คนมากมายสวมเสื้อสีชมพู ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมกันตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากที่มีการทำนายว่า สีชมพู เป็นสีที่ดีต่อพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บางคนแม้ว่าจะมีวัยกว่า 80 ปีแล้ว ก็ยังอุตส่าห์เดินทางมาจากภาคอีสานของไทย เพื่อร่วมถวายพระพรชัยมงคล และบางคนก็ปฏิบัติเช่นนี้ทุกปี นานถึงกว่า 40 ปีแล้ว

สำนักข่าวเอพีรายงานด้วยว่า ในโอกาสเช่นนี้เป็นโอกาสให้คนไทยได้ปัดเอาความเห็นที่ขัดแย้งในทางการ เมืองออกไป และกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ซึ่งการแสดงถึงความสามัคคีแบบนี้เริ่มหาได้ยากตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

สำนักข่าวดีพีเอรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเสาหลักสำคัญสำหรับเสถียรภาพทางการเมือง ระยะยาวของประเทศ และแม้พระองค์จะไม่มีอำนาจในการบริหาร แต่พระราชภารกิจด้านการพัฒนาที่ทรงปฏิบัติมาตลอด ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รักและเคารพของประชาชน และได้รับการยกย่องว่า ทรงเป็นผู้บุกเบิกปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สหประชาชาติให้การยอมรับ ทั้งยังทรงมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ย ในยามที่การเมืองของไทยมีปัญหา สามารถนำความสงบกลับมาสู่ประเทศหลายต่อหลายครั้ง

ด้านสำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นความหวังให้แก่คนไทยหลายล้านว่าพระองค์จะทรงหายจากพระอาการประชวร โดยเร็ว

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทรงรับสั่งขอบใจ ให้ทุกคนทำดี เพื่อชาติเจริญ

ทรงรับสั่งขอบใจ ให้ทุกคนทำดี เพื่อชาติเจริญ

Pic_51195


"ในหลวง" ทรงรับสั่งให้ทุกคนรู้หน้าที่ของตน ปฏิบัติให้เต็มกำลัง เพื่อให้ชาติเจริญ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น ทรงย้ำความสุขของพระองค์จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองเจริญมั่นคง...

เมื่อ เวลา 10.58 น. วันที่ 5 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จฯ ออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2552 โดยมีองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา นำเหล่าข้าราชการเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าข้าราชการที่เข้าถวายพระพรเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. ใจความว่า

"ขอบพระทัย และขอบใจทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิต พรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง ซึ่งปราถนาดี มุ่งหมายให้ข้าพเจ้ามีความสุข ความสวัสดี โดยประการต่างๆ ขอให้ส่งความสุข ความสวัสดี ของข้าพเจ้าได้เกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองของเรา มีความเจริญ มั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญ ทั้งนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้คิด และด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ อยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วทำตั้งจิต ตั้งใจ ให้เที่ยงตรง หนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนในดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวม อันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมือง ให้เป็นถิ่นที่อยู่ ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคง ยั่งยืนไป ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนไตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่าน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์ศุภเฉลิมมงคลให้สำเร็จผลขึ้นแก่กันทั่วหน้ากัน"

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทำไมแป้นพิมพ์ ไม่เรียง A B C

ทำไมแป้นพิมพ์ ไม่เรียง A B C

แป้นพิมพ์, คอมพิวเตอร์



รู้หรือป่าว !! ทำไม ตัวอักษรในแป้นพิมพ์ทั้งของเครื่องพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ ถึงไม่เรียงกันตามลำดับอักษรเช่น A B C

สำหรับการเรียงอักษรบนแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียง ที่เรียกว่า QWERTY (คิวเวอร์ตี้) ที่ เรียกกันอย่างนี้เพราะเป็นการนำอักษร 6 ตัวแรก(เมื่อนับจากซ้ายมาขวา) ของแป้นพิมพ์ที่เป็นตัวอักษรแถวบนมาต่อกัน และถ้าหากจะถามว่าทำไมถึงต้องเรียงแบบนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปในอดีตกันซะหน่อย

การเรียงลำดับ อักษรของแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากข้อจำกัดที่เกิดกับเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกๆ ที่ยังจัดแป้นพิมพ์แบบเรียงตามลำดับตัวอักษรคือ เมื่อคนที่พิมพ์ดีดได้คล่องและเร็วมาพิมพ์จะทำให้ก้านพิมพ์ดีดขัดกันอยู่ เสมอ ต่อมา คริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรกและได้รับสิทธิบัตรในปี 1868 จึงทำการเรียงลำดับตัวอักษรเสียใหม่ด้วยการแยกตัวอักษรที่มักใช้มาผสมเป็นคำ ร่วมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์ เพื่อทำให้นักพิมพ์ดีดพิมพ์ได้ช้าลงกว่าเดิม จะได้ไม่เกิดปัญหาก้านพิมพ์ขัดกันอีก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกผู้คนยังคงไม่นิยมเครื่องพิมพ์ดีดของเขามากนัก ทำให้โชลส์ตัดสินใจขายสิทธิบัตรดังกล่าวให้กับทางบริษัท เรมิงตันอาร์มคอมพานี ในปี 1973 ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ทางเรมิงตันผลิตเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่าย ความนิยมในตัวเครื่องพิมพ์ดีดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ใน เวลาต่อมา ปรากฏว่ามีผู้พยายามจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เป็นแบบต่างๆ ซึ่งแบบที่ได้รับความนิยมมากหน่อยก็อย่างเช่น แบบ DVORAK ซึ่ง เคยมีการบอกกล่าวกันว่าการเรียงในรูปแบบนี้จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้น จนทางห้างร้านบริษัทหลายแห่งเริ่มนิยมกันอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าในปี 1956 ทาง General Services Administration ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่หน่วยงานอื่นๆของรัฐ ได้ทำการศึกษาการจัดแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบ และก็พบว่า การจัดแบบ QWERTY นั้น ทำให้พิมพ์ได้เร็วเท่ากับหรือมากกว่าแบบ DVORAK ทำให้ความนิยมของการจัดแป้นพิมพ์แบบ DVORAK ลดลงไป

ทั้ง นี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ปัจจุบันเราก็ไม่ได้นิยมใช้พิมพ์ดีดแบบเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องก้านพิมพ์ขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อไป แล้วทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แป้นพิมพ์แบบเรียงตามตัวอักษรเหมือนก่อน ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้หลายคนคงพอเดากันได้ว่าเป็นเพราะ เราคุ้นเคยและเคยชินกับแบบ QWERTY จนไม่อยากจะกลับไปเสียเวลาเริ่มนับหนึ่งกับแบบเดิมเสียแล้ว

ปล. แป้นพิมพ์ภาษาไทย ก็ให้เหตุผลเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันสิ่งแวดล้อมไทย

วันสิ่งแวดล้อมไทย

ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนในวงกว้าง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา การพัฒนาประเทศ อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร ทำให้การใช้ทรัพยากรมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลทำให้ทรัพยากรธรรมชาติลดลง และทรัพยากรธรรมชาติที่เหลืออยู่ก็อยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรม เกินความสามารถที่จะพัฒนาให้ฟื้นตัวได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งยังเกิดปัญหามลพิษจากชุมชนเมือง และย่านอุตสาหกรรม

ปัจจุบันสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของไทยอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วงทรัพยากร ธรรมชาติที่เคยมีอยู่ลดลงอย่างรวดเร็ว น่าใจหาย อาทิเช่น พื้นที่ป่าไม้ที่เคยมีอยู่ราว 171 ล้านไร่ หรือ 53.3 % เมื่อปี 2540 ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่ถึง 25 % สัตว์ป่า 562 ชนิดถูกคุกคาม จนใกล้สูญพันธุ์ ปริมาณน้ำต่อหัวของประชากร 3,877 ลบ.ม./คน/ปี และมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ทรัพยากรดินมีอยู่ 321 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการทำการเกษตรมากกว่าครึ่ง และอัตราการพังทลายของดินมีสูงถึง 108 ล้านไร่ ต่อปี ปัญหามลพิษ เช่นน้ำเสียพบว่า มีน้ำที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานถึงร้อยละ 37 ปัญหามลพิษทางอากาศ มีมากในเขตเมืองบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น ปัญหาขยะมูลฝอยจากชุมชนทั้งประเทศมีมากถึง 37,879 ตันต่อวัน ทั้งยังพบปัญหาของเสียอันตรายที่เกิดจากการประกอบการอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกมากมาย

หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จึงได้ให้ความสนใจ และให้การสนับสนุน อย่าง จริงจัง ในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะท่านก็คือหนึ่งพลังที่จะช่วยพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมไทยให้ยั่งยืนต่อ ไป



วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี

พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี

แหล่งเรียนรู้เพื่อสืบสานจิตวิญญาณแห่งเมืองนนท์ ตั้งอยู่ใกล้กับท่าน้ำนนท์ เดิมเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดนนทบุรีหลังเก่า ซึ่งเป็นเรื่อนไม้สักที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นอาคารทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรมและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยาว นานของจังหวัดนนทบุรี

ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้เป็น “พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี” ซึ่ง เป็น แหล่งรวบรวม เก็บรักษาและจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของชาวนนทบุรี เพื่อการเรียนรู้ สืบทอดและอนุรักษ์ให้ยั่งยืนสืบต่อไป

ภายในอาคารจัดแสดงเรื่องราวที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ ย้อนรอยอดีตเล่าเรื่องวันวานของจังหวัดนนทบุรี แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมถึงงานวิจิตรศิลป์ชั้นเยี่ยม ประติมากรรมดินเผา และชมภาพอดีตในยุคทองของการค้าเครื่องปั้นดินเผาที่เกาะเกร็ดซึ่งกลับคืน ชีวิตด้วยเทคนิคพิเศษ

แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 8 ห้อง ได้แก่

ห้องที่ 1 โถงต้อนรับ
รู้จักนนทบุรีวันนี้จากแผนที่ดาวเทียม และมองความเป็นไปของชีวิตประจำวันรอบศาลากลางจังหวัดหลังเก่าตั้งแต่เช้าถึง ค่ำจากวีดิทัศน์ รวมถึงคำขวัญ สัญลักษณ์ และต้นไม้ประจำจังหวัดนนทบุรี

ห้องที่ 2
ศาลากลางจังหวัดนนทบุรีหลังเก่า
มองภาพรวมของอาคารจากหุ่นจำลอง ก่อนศึกษาองค์ประกอบสถาปัตยกรรม แล้วแกะรอยความเปลี่ยนแปลงในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาจากภาพถ่ายเก่าหายาก

ห้องที่ 3 ภาพอดีตนนทบุรี เมืองสวนผลไม้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ย้อนอดีตผืนดินนนทบุรีนับแต่กำเนิดขึ้นจากแม่น้ำ จนกระทั่งกลายเป็นเมืองสวนผลไม้ลือชื่อ ชมฉากจำลองสวนผลไม้เมืองนนท์ในอดีต ดูวิธีการทำสวนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ห้องที่ 4 วิจิตรศิลป์ถิ่นนนท์ /เกียรติยศแห่งนนทบุรี
เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดนนทบุรี ภาพจิตรกรรมฝาผนังชิ้นเยี่ยม และงานวิจิตรศิลป์ชั้นยอดของนนทบุรี แล้วรู้จักกับบุคคลสำคัญชาวนนทบุรีที่มีผลงานดีเด่นระดับชาติ

ห้องที่ 5 เครื่องปั้นดินเผา สัญลักษณ์แห่งนนทบุรี
ชมประติมากรรมดินเผาขนาดใหญ่รูปตราประจำจังหวัดนนทบุรี สืบหาต้นกำเนิดและแกะรอยการเดินทางของ “ หม้อน้ำลายวิจิตร ” สัญลักษณ์ประจำจังหวัด ซึ่งมีที่มาจากแดนไกล

ห้องที่ 6 เครื่องปั้นดินเผาบ้านเกาะเกร็ด และบ้านบางตะนาวศรี
ชมความงามของหม้อน้ำลายวิจิตรแบบต่างๆ และศึกษารูปแบบอันหลากหลายของเครื่องปั้นดินเผานนทบุรีในอดีตจากแหล่งผลิต ใหญ่ 2 แห่ง ซึ่งเคยผลิตสินค้าส่งขายทั่วประเทศ

ห้อง 7 ภูมิปัญญาการผลิตเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดนนทบุรี
ชมหุ่นดินเผาแสดงขั้นตอนการผลิตเครื่องปั้นดินเผาตามวิธีการดั้งเดิมของบ้าน เกาะเกร็ดที่ไม่มีให้เห็นแล้ว และติดตามพัฒนาการที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน

ห้อง 8 การค้าเครื่องปั้นดินเผานนทบุรีในอดีต
ชมภาพอดีตในยุคทองของการค้าเครื่องปั้นดินเผาที่เกาะเกร็ดซึ่งกลับคืนชีวิต ขึ้นใหม่ด้วยเทคนิคพิเศษ และตามรอยวิถีการค้าของพ่อค้าเรือโอ่ง

การเดินทาง
ทางบก รถประจำทางสาย 32, 63, 97, 114, 175, 203, 543 และ 545
ทางน้ำ เรือด่วนเจ้าพระยา จากท่าช้างสุดทางท่าน้ำนนท์

พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี เปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวันอังคารถึงวันศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.วันเสาร์-อาทิตย์และนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00-18.00 น. หยุดให้บริการทุกวันจันทร์