วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักปุ่ม F บนคีย์บอร์ดกันดีกว่า

หากพูดถึงปุ่มตระกูล F (Function) บนแป้นคีย์บอร์ด น่าจะเป็นปุ่มที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต้องพบเห็นบ่อยๆ และคุ้นเคยกันดี เนื่องจากมันถูกวางเรียงอยู่แถวบนสุดของคีย์บอร์ด แถมยังมีจำนวนมากตั้งแต่ F1 ไปจนถึง F12

แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ปุ่มตระกูล F เหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรกันบ้าง เอาเป็นว่าเราลองมาทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดี กว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น

F1 - นี่คือปุ่มทางลัดเข้าสู่คู่มือช่วยเหลือ (Help) ของโปรแกรมต่างๆ และถ้าคุณกดปุ่ม Windows Key ตามด้วย F1 มันก็คือปุ่ม Help ของโปรแกรมไมโครซอฟท์นั่นเอง

F2 - ถ้าคุณกดปุ่มนี้ขณะอยู่บนจอเดสก์ท็อป มันคือการไฮไลต์โฟลเดอร์หรือไฟล์เพื่อเตรียมจะเปลี่ยนชื่อ และถ้าอยู่บนโปรแกรม Microsoft Word เมื่อคุณกดปุ่ม Ctrl + F2 มันคือการ Preview เอกสารก่อนพิมพ์

F3 - ปุ่มนี้ใช้เป็นทางลัดเข้าสู่ระบบ Search ของโปรแกรมต่างๆ

F4 - กดปุ่ม Alt + F4 คือการออกจากโปรแกรมที่กำลังใช้งาน

F5 - เมื่อกำลังท่องเว็บไซต์ กดปุ่มนี้คือการทำ Refresh หรือ Reload หน้าเว็บไซต์อีกครั้ง

F6 - คือปุ่มที่ใช้เลื่อน Cursor ไปยัง Address Bar ขณะใช้งานเว็บเบราว์เซอร์

F7 - กดปุ่มนี้เมื่ออยู่ใน Microsoft Word คือการเรียกเช็กระบบตรวจสอบคำผิด

F8 - ปุ่มลัดใช้เรียก Start Menu เวลาอยู่ใน Safe Mode

F9 - ปุ่มลัดเข้าสู่ระบบวัดระยะของโปรแกรม Quark 5.0

F10 - กดปุ่ม Shift + F10 คือการทำงานเสมือนคุณกำลังคลิกขวาที่เมาส์

F11 - กดปุ่มนี้เพื่อการเรียกดูเบราว์เซอร์แบบ Full Screen

F12 - ใช้เป็นคำสั่ง Save as เมื่ออยู่ในโปรแกรม Microsoft Word

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง



คน จะเก่งได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีพรแสวงด้วย คือหมั่นค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม หมั่นฝึกฝนและพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง สิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนเก่งด้านการปฎิบัติ การฝึกฝนทุกคนคงจะพอทำกันได้ แต่ในด้านความคิดล่ะ คนเก่งเขาคิดกันอย่างไร แล้วคิดอย่างไรถึงจะเป็นคนเก่งมาลองดู 7 วิธีนี้ดู เราว่ามันให้อะไรมากกว่าการเป็นคนเก่งอีกนะ

1. คิดในทางมองโลกในแง่ดี
และ ทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ

2. มีศรัทธาในตัวเอง
ถ้า แม้แต่คุณเองยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ จะเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบ และทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจในตัวคุณก่อน

3. ขอท้าคว้าฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใคร ก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง

5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ

6. เรียนรู้จากความผิดพลาด
สี่ เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง หันมาทบทวนดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

7. ทนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
คง ไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะ แม้ว่าชีวิตของคุณในแต่ละวันจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ที่รู้จักมักจี่กันมานานซะบ้าง แวะไปหากัน เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่ หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนซี้ไว้ พึ่งพาและให้กำลังใจกันได้นะ

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จะเก็บฟันคุดไว้หรือเอาออกดี

ฟัน ฟันคุด ปวดฟัน ถอนฟัน

ปกติแล้วเราจะมีฟันแท้ 32 ซี่ ฟันบนซ้ายขวา ข้างละ 8 ซี่ ข้างล่างก็เช่นกัน ซ้ายขวาข้างละ 8 ซี่ รวมแล้ว 32 ซี่ ทีนี้ส่วนใหญ่จะได้ไม่คบ 32 เพราะซี่สุดท้ายมักไม่ขึ้นหรือขึ้นมาเฉียงๆ เอียงๆ ติดฟันข้างเคียง ฟันที่ขึ้นมาไม่ได้ ฝังอยู่ในขากรรไกร เราเรียกว่า ฟันคุด ทันตแพทย์จะแนะนำให้ถอนฟันคุดออก เพราะการปล่อยทิ้งไว้มีผลเสียมากกว่าผลดี ซึ่งอาจสร้างปัญหาได้ ดังนี้


มีอาการปวด เพราะตัวฟันคุดเองมีแรงผลักเพื่อจะงอกขึ้นมาในขากรรไกร แต่ถูกกันหรือติดโดยฟันข้างเคียง ทำให้มีแรงย้อนกลับไปกดที่เส้นประสาทของขากรรไกร อาการปวดมีตั้งแต่ทนได้จนกระทั่งปวดมาก ในบางครั้งอาจมีอาการปวดแบบส่งต่อหลังจากตำแหน่งฟันคุดไปยังบริเวณอื่นของใบ หน้า เช่น ปวดหน้าหู ปวดตา ปวดศีรษะ เป็นต้น

ฟันคุดทำให้ฟันเก แรงดันของฟันคุด มากพอที่จะผลักให้ฟันข้างเคียงรับกระทบต่อๆ กันไปจนฟันบิดซ้อนกันได้ ในการจัดฟันทันตแพทย์มักแนะนำให้ถอนฟันคุดออกก่อนใส่เครื่องมือ

ฟันคุดทำให้ฟันผุ ฟันคุดเป็นที่กักเศษอาหาร ทำความสะอาดยากเพราะอยู่ลึกใกล้ลำคอ การที่มีเศษอาหารสะสมอยู่บริเวณนั้นนานๆ ก็ทำให้ฟันผุง่ายโดยปกติถ้าฟันคุดผุไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเอาออกอยู่แล้ว แต่หลายคนมาพบทันตแพทย์มักจะมีฟันที่ดีๆ ข้างเคียงผุด้วยจนไม่สามารถรักษาได้ ทั้งอาจจะต้องถอนพร้อมฟันคุดอย่างน่าเสียดาย

ฟันคุดทำให้เหงือกอักเสบ ก็เช่นกันเศษอาหารที่ค้างอยู่ใต้เหงือกที่คลุมฟันอยู่นั้นเป็นแหล่งสะสมของ แบคทีเรียที่ยากทำความสะอาดได้หมดจด ซึ่งง่ายต่อการเกิดเหงือกอักเสบและบวม

ฟันคุดทำให้ติดเชื้อ เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะการติดเชื้อจากฟันคุด มันทำให้ขากรรไกรบวม ถ้าเป็นรุนแรง อ้าปากไม่ขึ้นกลืนไม่ได้ ลุกลามลงคอ พาลหายใจไม่ได้เอา ถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาล รักษาอย่างเร่งด่วนกันเลย

ฟันคุดมีโอกาสทำให้เกิดถุงน้ำ (CYST) ซึ่งจะขยายอยู่ใน กระดูกขากรรไกร หากไม่เคยได้รับการตรวจฟัน มักจะรู้ตัวอีกทีเมื่อเห็นใบหน้าเอียงหรือขากรรไกรข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง การที่มี cyst อยู่ในขากรรไกรก็เหมือนกับลูกโป่งที่มันจะค่อยๆ พองใหญ่ขึ้นเบียดกินกระดูกขากรรไกรไปเรื่อยๆ ถ้าพบเข้าและรีบทำการผ่าตัดออกได้เร็ว การสูญเสียอวัยวะ ขากรรไกรก็น้อย ยังสามารถรักษารูปหน้าให้เหมือนเดิมได้ แต่ถ้า cyst ใหญ่มากๆ ก็อาจถึงขนาดต้องตัดขากรรไกรบางส่วนออก การรักษารูปใบหน้าให้เหมือนเดิมก็ทำได้ยากขึ้นโดยเฉพาะกรณีที่ cyst นั้นเปลี่ยนไปเป็นเนื้องอกบางชนิด

จะเห็นได้ว่าการเก็บฟันคุดไม่มีผลดีเลย ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่เกิดอันตรายกับสุขภาพปากของคนเราหลายด้าน จึงควรผ่าเอาออก... ผลดีมีมากกว่าจริงๆ ค่ะ

ฟันคุด....คืออะไร ฟันคุด คือฟันที่ ไม่สามารถขึ้นได้ตามปกติในช่องปาก อาจจะโผล่ขึ้นมาได้เพียงบางส่วน หรือฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรทั้งซี่ ฟันซี่ที่พบว่าเป็นฟันคุดบ่อยที่สุด คือ ฟันกรามล่างซี่สุดท้าย ซึ่งอยู่ด้านในสุดของกระดูกขากรรไกรล่าง โดยปกติแล้วฟันซี่นี้ควรจะขึ้นในช่วงอายุ 18 - 25 ปี อาจโผล่ขึ้นอยู่ในลักษณะตั้งตรง เอียง หรือนอนในแนวระนาบ และมักจะอยู่ชิดกับฟันข้างเคียงเสมอ นอกจากนี้ฟันซี่อื่น ๆ ก็อาจจะคุดได้ เช่น ฟันเขี้ยว ฟันกรามน้อยแต่พบได้น้อยกว่าฟันกรามล่างซี่สุดท้าย

จะทราบได้อย่างไรว่ามีฟันคุด จากการตรวจในช่องปาก ถ้าพบว่าฟันซี่ใดโผล่ขึ้นมาได้เพียงบางส่วน หรือฟันซี่ใดหายไป ก็ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าน่าจะมีฟันคุด เพื่อให้แน่ใจก็ควรจะเอกซเรย์ดู ก็จะทำให้ทราบว่ามีฟันคุดฝังอยู่ในตำแหน่งไหนบ้าง การเอกซเรย์ฟิล์มพานอรามิกจะเห็นฟันทั้งหมดในกระดูกขากรรไกรทั้งบนและล่าง รวมถึงพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นในกระดูกขากรรไกร

ทำไมถึงต้องผ่าฟันคุด การผ่าตัดฟันคุดมีจุดประสงค์หลายประการ ได้แก่

1. เพื่อป้องกันการอักเสบของเหงือกที่ปกคลุมฟัน เพราะจะมีเศษอาหารเข้าไปติดอยู่ใต้เหงือก แล้วไม่สามารถทำความสะอาดได้ เชื้อแบคทีเรียที่มาสะสมอยู่จะทำให้เหงือกอักเสบ ปวดและบวมเป็นหนอง ถ้าทิ้งไว้การอักเสบจะลุกลามไปใต้คาง หรือใต้ลิ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ง่าย นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

2. เพื่อป้องกันฟันข้างเคียงผุ ซอกฟันระหว่างฟันคุดกับฟันกรามซี่ที่สองที่อยู่ชิดกันนั้น ทำความสะอาดได้ยาก เศษอาหารจะติดค้างอยู่ทำให้เกิดฟันผุได้ทั้งสองซี่

3. เพื่อป้องกันการละลายตัวของกระดูก แรงดันจากฟันคุดที่ พยายามดันขึ้นมา จะทำให้กระดูกรอบรากฟัน หรือรากฟันข้างเคียงถูกทำลายไป

4. เพื่อป้องกันการเกิดถุงน้ำหรือเนื้องอก ฟันคุดที่ทิ้งไว้นานไปเนื้อเยื่อที่หุ้มรอบฟันคุด อาจจะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นถุงน้ำ แล้วโตขึ้นโดยไม่แสดงอาการเลย จนในที่สุดเกิดการทำลายฟันซี่ข้างเคียง และกระดูกรอบ ๆ บริเวณนั้น

5. เพื่อป้องกันกระดูกขากรรไกรหัก เนื่องจากการที่มีฟันคุดฝังอยู่ จะทำให้กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นบางกว่าตำแหน่งอื่น เกิดเป็นจุดอ่อน เมื่อได้รับอุบัติเหตุ หรือกระทบกระแทก กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นก็จะหักได้ง่าย 6. วัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น ในการจัดฟัน ต้องถอนฟันกรามซี่ที่ สาม ออกเสียก่อนเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนฟันซี่อื่น ๆ

ขั้นตอนการผ่าฟันคุดมีอะไรบ้าง น่ากลัวอย่างที่เขาบอกกันหรือเปล่า การผ่าตัดฟันคุดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทันตแพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อระงับความรู้สึก หลังจากนั้นก็จะเปิดเหงือกให้เห็นฟัน แล้วใช้เครื่องกรอตัดฟันออกมา ล้างทำความสะอาดและเย็บแผลปิด เท่านี้ก็เสร็จแล้ว สามารถกลับบ้านได้ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล

หลังผ่าตัดฟันคุดแล้วจะมีอาการอะไรบ้าง จะพูดหรือรับประทานอาหารได้ไหม อาการที่พบได้หลังการผ่าตัดฟันคุดคือ จะมีอาการปวดและบวมบริเวณแก้มด้านที่ทำผ่าตัดสัก 2 - 3 วัน อ้าปากได้น้อยลง ทานยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะที่ได้รับไปอาการก็จะบรรเทาลงได้ เรื่องอาหารคงต้องทานอาหารอ่อนไปก่อนสักระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนต่อแผล ส่วนการพูดก็พูดได้ตามปกติ แต่อย่าพูดมากนักเดี๋ยวจะเจ็บแผลได้

หลังผ่าตัดฟันคุดจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง คำแนะนำหลังการผ่าตัดฟันคุดมีดังนี้

1. กัดผ้าก๊อซนาน 1 ชั่วโมง กลืนน้ำลายตามปกติ

2. ห้ามบ้วนเลือดและน้ำลาย เพราะอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้

3. หลังคายผ้าก๊อซแล้ว ถ้ามีเลือดซึมจากแผลผ่าตัด ให้ใช้ผ้าก๊อซที่สะอาดกัดใหม่อีกประมาณ ½ ชั่วโมง

4. ประคบน้ำแข็งบริเวณแก้ม เฉพาะวันที่ทำผ่าตัด

5. รับประทานอาหารอ่อน

6. รับประทานยาให้ครบตามที่ทันตแพทย์สั่ง

7. งดออกกำลังกาย หรือ เล่นกีฬา

8. แปรงฟันทำความสะอาดในช่องปากตามปกติ

9. ตัดไหมหลังผ่าตัด 7 วัน

10.หากมีปัญหาหรือผลแทรกซ้อนเกิดขึ้น กลับมาพบทันตแพทย์ได้ก่อนวันนัด

การผ่าตัดฟันคุดมีอันตรายหรือผลแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง ผลแทรกซ้อนของการผ่าตัดฟันคุดที่พบได้ เช่น หลังคายผ้าก๊อซแล้วยังมีเลือดไหลจากแผลผ่าตัดมากผิดปกติ มีไข้หรือมีการติดเชื้อหลังการผ่าตัด หลังผ่าตัด 2 - 3 วันแล้วอาการปวดบวมยังไม่ทุเลา แต่กลับมีอาการเพิ่มมากยิ่งขึ้น หรือมีอาการชาของริมฝีปากล่างนานผิดปกติทั้งที่หมดฤทธิ์ชองยาชาแล้ว ถ้าท่านมีอาการเหล่านี้ควรรีบกลับไปพบทันตแพทย์ได้ทันที เพื่อหาทางแก้ไข แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าผลแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้น้อยมาก ไม่ต้องกังวลจนกลัวแล้วไม่ยอมไปผ่าตัดฟันคุด เพราะถ้าเก็บฟันคุดไว้กลับจะมีอันตรายมากยิ่งกว่าเสียอีกถ้าอย่างนี้แล้วจะ ป้องกันอันตรายจากฟันคุดได้อย่างไร อันนี้ไม่ยากเพียงแค่ท่านไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและเอกซเรย์ฟันก็จะทราบว่า มีฟันคุดฝังอยู่ในตำแหน่งใดบ้าง หลังจากนั้นก็เริ่มทยอยผ่าฟันคุดออกเสียก่อนที่จะมีอาการปวดบวม หรือทำให้ฟันข้างเคียงมีปัญหา การผ่าตัดในช่วงที่อายุยังน้อย (18 - 25 ปี) สามารถทำได้ง่าย แผลหายเร็วและผลแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดก็ต่ำ เพราะฉะนั้นมีฟันคุดแล้วอย่ารั้งรอ รีบผ่าตัดออกเสียแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เกิดผลเสียในภายหลัง

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

อันที่จริงก็เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่คะ เราเคยเขียนไปบ้างบางส่วนในหัวข้อ ข้อควรจำในการออกกำลังกาย คะ วันนี้จะมาขยายความต่อไปในบางข้อที่ดูเล็กๆน้อยๆแต่ก็จำเป็นเหมือนกันนะคะ

สุขภาพ, ออกกำลังกาย, ฟิต, เฟริ์ม, สดใส, ผอม, อ้วน, กล้ามเนื้อ, หุ่นดี

มาดูกันคะว่า 10 ข้อที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง

1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ ทุกครั้งเมื่อเรา warm up ก่อนเริ่มต้นเล่น weight เราก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนะคะ เพื่อว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่นพร้อมรับการออกแรงมากๆ และในระหว่างการออกแรงนั้นกล้ามเนื้อและเอ็นจะขยายตัวคะ หากเราไม่ยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ขณะเล่น weight คะ และเมื่อจบการเล่น หรือการ burn แต่ละครั้งก็ควรยืดกล้ามเนื้ออีก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วถึงคะ อีกทั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ออกแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน ปกติ trainer จะยืดกล้ามเนื้อให้ทุกครั้งเมื่อเล่นจบ 1 set คะ และ trainer บางคนถึงขนาดยอมนวดหรือยืดกล้ามเนื้อแบบการนวดแผนไทยให้กับ memberเลยนะคะ (แต่ trainer เราเค้าไม่ทำ เพราะเค้าบอกว่าดูไม่ใช่ trainer ไงไม่รู้) ถ้าหากไม่มีคนยืดให้ ให้ใช้ท่าโยคะยืดกล้ามเนื้อที่เคยนำเสนอไปแล้ว รวมกับเครื่องยืดกล้ามเนื้อที่ทาง Fitness จัดให้คะ

2. ใช้น้ำหนักมากเกินไป โดยมากมักเกิดในพวกหนุ่มๆที่อยากมีกล้ามโตไวๆ สาวๆเรามักอิดออดเวลาเห็นแป้นน้ำหนักมากๆหรือลูกน้ำหนักขนาดใหญ่ๆโตๆ อันที่จริงการออกกำลังกายแบบ Anarobic โดยการใช้วิธีแบบ resistance (การออกแรงต้าน) นั้น จะให้ผลดีต่อกล้ามเนื้อเมื่อผู้เล่นรู้ว่าตัวเองสามารถรับแรงต้านได้มากแค่ ไหน การเล่นโดยใส่แผ่นน้ำหนักมากเกินกำลังอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้คะ

- กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เพราะรับน้ำหนักมากเกินไป แต่ยังฝืนเล่นต่อไป

- กล้ามเนื้อฝ่อหรือโตผิดที่ กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตออกซิเจนมากเกินไปขณะเล่น weight ทำให้ร่างกายสันดาปเอา ไกลโคเจน มาใช้มากเกินไป (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เรานำเข้าไปแต่ละวัน) ซ่งส่วนนี้เองที่ร่างกายนำมาสร้างกล้ามเนื้อแต่เมื่อเราใช้ไปขณะเล่น ร่างกายก็ไม่มีอะไรไว้สร้างกล้ามเนื้อคะ กล้ามเนื้อโตผิดที่ เกิดจากเมื่อเราใส่น้ำหนักมากไป เมื่อเราเล่น เราอาจวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการออกแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ต้องการออกแรง ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อโตผิดที่ ซ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามแขน (บางคนเล่นอกแต่ดันเอาแขนยก )

3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกาย เรื่องนี้เราย้ำบ่อยมากในบทความเก่าๆที่เคยเขียนมาทุกครั้ง การ warm up นอกจากเป็นการทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้ออีกด้วยคะ สังเกตุดูว่าการ warm up ไม่มีท่าทางตายตัว แต่มุ่งเน้นว่าร่างกายทุกส่วนต้องเคลื่อนไหวในขณะ warm up เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมก่อนการออกกำลังกายจริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนั่นเองคะ

4. ไม่ Cool Down ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ 1. คะ การ cool down จะตรงข้ามกับการ warm up เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราควร cool down เพื่อเตรียมร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการไปทำธุระอื่นๆคะ เหตุผลก็ง่ายๆเลย อย่างที่เราทราบว่าหากเราอาบน้ำทั้งที่ร่างกายเรายังร้อนอยู่อาจเป็นไข้ได้ นั่นล่ะคะ เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จ อุณหภูมิในร่างกายยังสูงอยู่ เราก็ต้องปรับให้กลับมาที่จุดปกติเพื่อทำกิจกรรมปกตินั่นเองคะ

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป การออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลให้เกิดอาการต่อไปนี้

- Over Trained หรือกล้ามเนื้อล้าจากการออกแรงมากเกินไป จะเกิดอาการตึงๆหรือล้าๆกล้ามเนื้อ

- กล้ามเนื้อฝ่อ อย่างที่อธิบายไปแล้ว คือ ร่างกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้ไปใช้นั่นเองคะ

6. ดื่มน้ำน้อยไป เรื่องนี้สำคัญมากๆ เคยเตือนไปหลายต่อหล่ยครั้งมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น Bikram หรือโยคะร้อน ข้อนี้จำเป็นมากๆเลยคะ ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% เซลล์กล้ามเนื้อทุกๆเซลล์ต้องการน้ำ ดังนั้น หากเราออกกำลังกายจนเหนื่อยหนัก โดยไม่จิบน้ำเลย ร่างกายจะเกิดอาการ Dehydrate หรือขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ช็อคได้คะ เนื่องจากขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงในระดับเซลล์นั่นเองคะ เรื่องเล็กๆที่สำคัญมากนะคะ

7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไป Stair Stepper ก็คือเครื่อง Cardio ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนในภาพนี้น่ะคะ

สุขภาพ, ออกกำลังกาย, ฟิต, เฟริ์ม, สดใส, ผอม, อ้วน, กล้ามเนื้อ, หุ่นดี

ถ้าหากเราทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่เท้าทั้งสองมากเกินไปจะทำให้บาดเจ็บที่หน้าแข้งและข้อเท้าได้นะคะ ระวังด้วยคะ

8. ออกกำลังกายเบาเกินไป อย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าการเล่น Cardio หรือการออกกำลังกายให้ถึง 60-85% ของ Max Heart Rate จะทำให้ร่างกายเราเผาผลาญไขมันไปใช้ในการออกกำลังกายคะ

9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก การใช้แรงสะบัดก็เป็นการออกแรงที่ผิดคะ การสะบัดนอกจากทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่แล้วยังอาจทำให้เกิด การบาดเจ็บได้ด้วยนะคะ ออกแรงให้ทุกต้องและพอดีจะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการให้ออกแรงนะ คะ

10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลาง ข้อนี้ไม่จำเป็นมากนักสำหรับทุกๆคนนะคะ บางคนทานเพราะต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อะมิโนแอซิด ฯลฯ มันไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุคะ

สุขภาพ, ออกกำลังกาย, ฟิต, เฟริ์ม, สดใส, ผอม, อ้วน, กล้ามเนื้อ, หุ่นดี

โดยปกติคนไทยเรา หากออกกำลังกายแล้ว เราสามารถเสริมโปรตีนโดยการบริโภคไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือนมได้โดยตรงคะ ซึ่งมีประโยชน์เท่ากันหรือมากกว่าและราคาถูกกว่าด้วยคะ ไม่ต้องไปเห่อตามฝรั่งคะ ต้องเข้าใจว่าบ้านเรากะบ้านเค้าอาหารการกิน และอากาศมันต่างกันคะ เราโชคดีที่มีของสด ราคาไม่แพงให้บริโภคก็เลือกของสดที่มีคุณภาพดีมาบริโภคดีกว่าพึ่งอาหารเสริม นะคะ เอาล่ะคะ พอได้รู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว ก็เตรียมตัวไปออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงรับเทศกาลที่กำลังจะมาเยือนกันเลย คะ ออกกำลังกายให้ผิวสวย หน้าใส อย่าออกกำลังกายให้ผิวแห้ง หน้าหมองเลยนะคะ

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปราบสิวหัวดำรอบจมูก



จุดดำๆ รอบๆ จมูกที่มาจากสิว ดูไม่งามไม่เหมาะกับหน้าใสๆ ของสาวๆ เลย มาดูวิธีกำจัดมันดีกว่า

จมูกของคนเรามักจะมีต่อมผลิตน้ำมันมากกว่าส่วนอื่นๆของร่างกาย และเมื่อความมันเยิ้มนั้นเข้าไปรวมตัวกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว สิวหัวดำก็จะโผล่ออกมาให้เห็น ในการขจัดสิวหัวดำที่ดูน่าเกลียดนั้นออกไป คุณก็ควรใช้คลีนเซอร์ หรือผลิตภัณฑ์ขัดลอกผิว ที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่า-ไฮดร็อกซี่สัปดาห์ละสองครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว หรือสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนออกไป ซึ่งจะช่วยลดเลือนสิวหัวดำให้คุณได้ภายในหนึ่งถึงสองเดือน หลังจากนั้นก็ควรคงความเกลี้ยงเกลานั้นเอาไว้ ด้วยการใช้สครับชนิดอ่อนโยนหรือแบบที่มีผงขัดขนาดเล็ก ขัดผิวหน้าเป็นประจำสัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดวง ประจำเดือน กรกฎาคม (ปักษ์แรก) วันที่ 1-15 กรกฎาคม 2553

ดวงเด่นรายปีกษ์ จาก INN News

ราศีมังกร 14 ม.ค. – 12 ก.พ.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีมังกรในปักษ์นี้ งานใหม่ หรืองานเก่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อะไรที่คิดว่าแน่นอนกลับไม่เป็นอย่างที่คิดนะคะ แต่อย่างไรก็แล้วแต่คุณจะได้รับความสำเร็จที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่ดีขึ้นค่ะ แต่ต้องรอคอยหน่อยนะคะ

ทางด้านการเงิน จะได้รับผลประโยชน์จากการที่ได้ลงทุน ลงแรงไป แต่ไม่ควรที่จะเสี่ยงลงทุนอะไรเพิ่มเติมในปักษ์นี้ค่ะ

ความรัก สำหรับคนโสดคุณจะได้พบมิตรต่างเพศ ที่เป็นคนมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ มีคนชอบมากมาย ทำให้คุณรู้สึกถึงความไม่แน่นอนของตนเอง แต่ต้องขอแนะนำไว้ก่อนนะคะว่าคุณอาจจะต้องเหนื่อยกับมิตรใหม่ของคุณคนนี้เอา การทีเดียวค่ะ

สำหรับคนที่มีคนรู้ใจแล้วในปักษ์นี้มีความสุขดีค่ะ มีเกณฑ์ได้รับของขวัญมีค่าจากคนรู้ใจทำให้คุณมองไปทางไหนก็เป็นสีชมพูไปหมด ค่ะ น่าอิจฉาจังเลยค่ะ

ครอบครัว ในช่วงนี้จะมีเรื่องของสุขภาพคนในครอบครัว ให้ระวังเรื่องของการแพ้อาหาร แพ้อากาศ และฝุ่นละอองได้ด้วยค่ะ คุณที่เป็นอยู่แล้วระวังจะมีอาการกำเริบ ให้คุณหมอตรวจเช็คบ้างนะคะ จะได้ไม่เป็นอะไรมากค่ะ


ราศีกุมภ์ 13 ก.พ. – 13 มี.ค.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีกุมภ์ ในปักษ์นี้ จะต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ซึ่งเป็นไปได้สูงมากว่าคุณจะต้องรับผิดชอบงานมากกว่าหนึ่งอย่าง ไม่ควรที่จะไว้ใจใครมากในช่วงนี้ ความลับบางอย่างที่คุณปกปิดไว้อาจจะถูกเปิดเผย จะเสียใจจากคนรอบข้าง กล่าวถึงคุณในแง่ลบ เป็นปักษ์ที่เหนื่อยมากค่ะ

ทางด้านการเงิน จะได้รับผลตอบแทนจากความสามารถ และอาจจะมีโชคจากการเสี่ยงด้วยค่ะ

ความรัก ทางด้านความรักในปักษ์นี้คนที่ยังโสดจะได้พบกับมิตรต่างเพศที่คุณนึกไม่ถึง แต่ว่าอาจจะไม่มีความแน่นอนเท่าไรนักนะคะ คบหาไปก่อนอย่าคิดจริงจังหรือหมายมั่นอะไรมากค่ะ

สำหรับคนที่มีคน รู้ใจแล้วให้ระวังความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นจากมือที่สาม ซึ่งจะนำการเปลี่ยนแปลงมาให้คุณ ใจเย็น ๆ นะคะ ปรับความเข้าใจกันให้ดี ๆ กับคนรู้ใจซะก่อน ที่จะตัดสินใจอะไรก็ตามค่ะ

ครอบครัว ในครอบครัวปักษ์นี้มีเกณฑ์ดีในเรื่อง ของการเดินทางไกลท่องเที่ยวที่คอยมานาน ทุกคนจะมีความสุข สนุกสนานเป็นอย่างมาก มีเกณฑ์ได้รับของขวัญ หรือของฝากจากคนทางไกลด้วยค่ะ สุขภาพที่เจ็บป่วยจะทุเลาลง แต่จะมีการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆจากการแพ้อากาศค่ะ



ราศีมีน 14 มี.ค. – 12 เม.ย.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีมีนในปักษ์นี้ จะมีปัญหายุ่งยากไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ระวังคนคอยใส่ร้ายเรียกได้ว่าคุณมีคนไม่ประสงค์ดีอยู่ใกล้ตัว หากคุณไม่พยายามทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบจะเกิดผลเสียได้ค่ะ ระวังปัญหากับเพื่อนร่วมงานใจเย็น ๆ นะคะ คุณจะได้รับข่าวดีบางอย่างเกี่ยวกับงานใหม่ที่คุณรอคอย ในปักษ์นี้ค่ะ

ทางด้านการเงิน เข้ามือซ้าย จ่ายมือขวาไม่มีเหลือเก็บค่ะ อย่ามือเติบในเรื่องที่ไม่จำเป็นนะคะ ไม่เช่นนั้นจะติดขัดทั้งปักษ์นี้ค่ะ

ความรัก ทางด้านความรักของชาวราศีนี้สำหรับคนโสดจะมีคนเข้ามาคุยถึงความสัมพันธ์ที่ ดี ที่เค้ารู้สึกกับคุณ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณจะลองตัดสินใจให้โอกาสแก่เขาผู้นั้นหรือไม่ค่ะ

สำหรับ คนที่มีเจ้าของแล้วจะได้รับความรัก ความอบอุ่นของคู่รักเป็นอย่างดี แต่ไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันนะคะ อย่างนี้เรียกว่าตัวไกล แต่ใจใกล้กันค่ะ


ครอบครัว
ใน ครอบครัวให้ระวังอุบัติเหตุที่เกิดจากการเดินทางให้มาก ๆ ค่ะ ไม่จำเป็นไม่ควรเดินทางไกลในปักษ์นี้นะคะ จะได้โชคจากเด็กๆ หรือจะแก้เคล็ดด้วยการไปทำบุญกับเด็กกำพร้า หรือเด็กพิการ จะมีโชคกลับมาทีหลังค่ะ


ราศีเมษ 13 เม.ย.-13พ.ค.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีเมษในปักษ์นี้ คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จแบบไม่น่าเชื่อในสิ่งที่ทำอยู่ ต้องใจเย็น ๆ ในช่วงนี้นะคะ คุณอาจจะผิดหวัง หรือเสียความรู้สึกที่ดีกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนับสนุนส่งเสริม หรืออาจจะแสดงอาการให้เห็นว่าไม่ชอบคุณ ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดต่อไปค่ะ

ทางด้านการเงิน จะได้รับความสำเร็จดีมากแต่ไม่ได้มาจากโชคลาภนะคะ จะได้รับเงินจากความสามารถของคุณเองล้วน ๆ ค่ะ

ความรัก ในปักษ์นี้คุณที่ยังโสดจะมีคนมีอายุ และอาจจะเป็นคนในเครื่องแบบ หรือทำงานกับหน่วยงานของรัฐเข้ามาชอบพอ ถือเป็นข่าวดีค่ะ

สำหรับ คนที่มีคนรู้ใจแล้ว ต้องระวังเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกับคนรักให้มาก นะคะ เพราะสาเหตุจากความตึงเครียดเรื่องการงานนั่นเองค่ะ ใจเย็น ๆ นะคะ

ครอบครัว ในครอบครัว จะมีเรื่องยุ่งยากที่เกิดจากคนในบ้านเป็นคนก่อเรื่อง ระวังการทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัวด้วยค่ะ ในปักษ์นี้อุณหภูมิของคนในครอบครัวค่อนข้าง ระอุต้องใจเย็น ๆ ไว้บ้างค่ะ สำหรับสุขภาพระวังการเจ็บป่วยแบบฉับพลัน เช่นเป็นหวัด หรือเจ็บเนื้อตัว เพราะความประมาทของตนเองค่ะ



ราศีกรกฎ 15ก.ค.-16ส.ค.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีกรกฎในปักษ์นี้ ค่อนข้างดีมีความสำเร็จเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จากความพยายามของคุณเอง อย่าหวังความช่วยเหลือจากคนรอบข้างนะคะ เพราะจะไม่ได้รับคำตอบที่คุณมุ่งหวัง มีเกณฑ์การเดินทางที่เกี่ยวกับการงานโดยตรง ระวังในเรื่องของสิ่งที่มุ่งหวังไว้บ้างในปักษ์นี้ค่ะ เพราะสิ่งที่คุณหวังจะไม่ได้ แต่สิ่งที่คุณได้จะไม่ได้หวังค่ะ

ทางด้านการเงิน จะมีเรื่องติดขัด มีเรื่องต้องเสียเงินเพราะความเกรงใจ หรือภาษีสังคม ระวังจะเกิดการติดขัดนะคะพยายามตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งไปบ้างจะได้จัด ระบบการเงินได้ลงตัวค่ะ

ความรัก สำหรับคนโสดจะมีมิตรต่างเพศเข้ามาใกล้ชิด ทำให้คุณมีความสุขในความรักอย่างมาก มีการเดินทางท่องเที่ยวในปักษ์นี้ค่ะ

สำหรับ คนไม่โสดมีเกณฑ์ทะเลาะเบาะแว้งกับคนรักด้วยเรื่อง มือที่สาม ระวังอารมณ์ของคุณไว้ด้วยนะคะ ใจเย็น ๆ ค่ะ ค่อย ๆ เจรจากันค่ะ พอจะปรับความเข้าใจกันได้อยู่ค่ะ

ครอบครัว สำหรับครอบครัวในปักษ์นี้จะได้รับข่าวดีข่าวมงคลจากญาติมิตร มีเกณฑ์ได้รับเชิญไปในงานมงคล แต่คุณจะรู้สึกไม่อยากไป อาจจะมีการเดินทางไกลเกิดขึ้นในครอบครัวอย่างสนุกสนาน ระวังการเจ็บป่วยด้วยเรื่องของการแพ้อากาศ แต่ไม่มากค่ะ



ราศีสิงห์ 17ส.ค.-16ก.ย.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีสิงห์ในปักษ์นี้ จะมีข่าวดีด้านการงานอาชีพที่รอคอย จะได้รับความช่วยเหลือจากมิตรที่ดี นำพาความก้าวหน้ามาให้ มีเกณฑ์การเดินทางไกลทั้งใน และต่างประเทศ ในปักษ์นี้ค่อนข้างเด่นชัด จะได้พบกับมิตรใหม่ที่ต่างอาชีพ แต่มีทัศนคติที่ตรงกัน

ทางด้านการเงิน มีโชคดีทั้งทางด้านการงาน และทางด้านการเสี่ยงค่ะ

ความรัก ทางด้านความรักสำหรับคนโสดจะได้พบรักที่ไม่จริงใจ อย่าใจร้อนในเรื่องนี้นะคะ จะมีคนเข้าก็จริงแต่ขอให้คุณดูให้ดี ๆ ค่ะ

สำหรับคนไม่โสด คุณจะจับผิดได้บางอย่างเกี่ยวกับคนรักของคุณ หรือ ล่วงรู้ความลับบางอย่างที่เค้าปกปิดไว้ อย่าใจร้อนนะคะ ใจเย็น ๆ ค่ะ

ครอบครัว ในครอบครัวปักษ์นี้มีเกณฑ์ว่าจะได้รับลาภ หรือโชคลาภแบบไม่คาดคิด นะคะ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีค่ะ จะมีเกณฑ์ได้ไปเยี่ยมผู้ป่วยหนัก หรือมีการผ่าตัดเกิดขึ้นแต่ไม่หนักหนานะคะ อาจจะเป็นคนในครอบครัว หรือกับญาติมิตรของคุณเองค่ะ


ราศีกันย์ 17ก.ย.-16ต.ค.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีกันย์ในปักษ์นี้ คุณมีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย โดยได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี มีข่าวดีในเรื่องของการเดินทางไกลต่างประเทศ ในบางท่านอาจจะได้ไปทำงานในต่างแดนโดยไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยอีกแล้วค่ะ มีโอกาสในการเลื่อนขั้น หรือเลื่อนตำแหน่งสมดังใจหวังค่ะ

ทางด้านการเงิน มีข่าวดีจากความสามารถส่วนตัว อาจจะได้รับเงินพิเศษ หรือได้รับรางวัลพิเศษจากความสามารถค่ะ


ความรัก สำหรับคนที่มีคนรู้ใจแล้วในปักษ์นี้มีข่าวดีที่คุณรอคอย เป็นข่าวมงคล อาจจะหมายถึงงานหมั้น หรืองานแต่งงานที่คุณรออยู่ค่ะ

สำหรับคนโสดจะได้พบมิตรต่างเพศที่มาจากต่างแดน และอาจจะเป็นลูกครึ่งต่างวัฒนธรรมกันแต่ถูกใจกันเป็นอย่างมากค่ะ

ครอบครัว ในครอบครัวจะได้รับข่าวบางอย่างที่ทำให้รู้สึกยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก อาจจะเป็นการกลับมาของบุตรหลานที่อยู่ทางไกล หรือ คนในครอบครัวได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ทำให้ในบ้านมีความคึกคัก หรือมีงานฉลองอย่างสนุกสนานค่ะ สุขภาพ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่ะ


ราศีตุลย์ 17ต.ค.-15พ.ย.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีตุลย์ในช่วงปักษ์นี้ ต้องกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ เพราะคุณจะพบกับภาวะที่ต้องทำทุกอย่างแข่งกับเวลา และคนรอบข้าง จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ผิวขาว เป็นสุภาพสตรี ซึ่งจะนำความสำเร็จมาให้คุณได้หากคุณต้องติดต่องานกับบุคคลลักษณะนี้คุณจะ ได้ผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจค่ะ

ทางด้านการเงิน มีเรื่องจ่ายเงินออกไปโดยตลอด ระวังการหมุนเงินแบบจับแพะชนแกะในปักษ์นี้ไว้ด้วยนะคะ

ความรัก สำหรับคนโสด ที่รอคอยคนดี ๆ สักคนในปักษ์นี้จะมีโฉบเฉี่ยวเข้ามาให้คุณรู้สึกหวั่นไหว

สำหรับคนที่มีคนรู้ใจแล้วจะต้องพบกับความยุ่งยากบางอย่าง เกี่ยวกับมือที่สามที่จะทำให้คุณร้อนใจ และมีความรู้สึกปั่นป่วนมากค่ะ

ครอบครัว ในครอบครัวปักษ์นี้จะมีเกณฑ์ชีพจรลงเท้า ได้เดินทางแทบจะตลอดทั้งปักษ์ มีเรื่องน่ายินดี อาจจะมีญาติมิตร หรือคนในครอบครัวส่งข่าวดี ข่าวมงคลมาให้ ในครอบครัวปักษ์นี้มีโชคค่ะ สำหรับสุขภาพไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่ะ


ราศีพิจิก 16พ.ย.-15ธ.ค.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีพิจิกในปักษ์นี้ คุณจะได้เริ่มต้นในสิ่งใหม่ ๆ ที่คุณอยากเรียนรู้ หรืออยากลองทำมานานแล้ว ซึ่งคุณจะได้รับความสำเร็จค่อนข้างดีด้วยค่ะ หรือหากคุณคิดจะลาพักร้อน ไปพักผ่อนคุณก็จะได้ทำในปักษ์นี้ค่ะ การงานทุกอย่างที่คุณได้ลงมือทำไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ในปักษ์นี้จะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นค่ะ

ทางด้านการเงิน ดีไม่มีปัญหาอะไรค่ะ หากคุณที่รอคอยเงินก้อนในการลงทุนปักษ์นี้ได้แน่นอนค่ะ

ความรัก ในปักษ์นี้คุณที่ยังโสดมีเกณฑ์ได้พบมิตรสหายถูกใจเป็นอย่างมาก เป็นชาวต่างชาติ รูปร่างขาวโปร่ง เป็นนักเดินทางอาจจะทำงานที่ต้องเดินทางเป็นประจำค่ะ

สำหรับคนที่ไม่โสดจะต้องเหนื่อยกับการทำงานจนไม่มีเวลาให้กับคนรู้ใจ แต่ใกล้ ๆกลางปักษ์จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะแบ่งปันเวลาให้กันค่ะ

ครอบครัว ในปักษ์นี้ทุกคนในครอบมีความสุขสมหวังกันใช้ได้ แต่ว่าอาจจะมีเรื่องทุกข์ใจบ้างกับการเปลี่ยนแปลงปรับปรุง โยกย้าย หรือต่อเติมตกแต่งบ้านเรือน ที่เกิดความล่าช้าไม่เสร็จตามกำหนดนะคะ เรื่องสุขภาพขอให้ระวังการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่โดยทั่วไปแล้วจะสุขภาพแข็งแรงดี หากเจ็บป่วยอยู่ก็จะกลับมาหายเป็นปกติค่ะ



ราศีธนู 16 ธ.ค. – 13 ม.ค.

ทางด้านการงาน ทางด้านการงานของชาวราศีธนูในปักษ์นี้ มีความสำเร็จดีได้รับความนิยมชมชอบจากคนรอบข้าง มีเกณฑ์การเดินทางไกล หรือได้รับข่าวดีจากทางไกล และจะได้ทำงานที่ต้องใช้ภาษาต่างชาติ กับคนต่างชาติมีเกณฑ์ดีในเรื่องของการพบมิตรใหม่เป็นคนต่างแดน ผิวขาว ลักษณะดี ทำงานเก่ง ได้รับความช่วยเหลือที่ดีจากเพื่อนร่วมงาน

ทางด้านการเงิน ดีค่ะ จะสามารถจัดระบบการเงินให้ลงตัวได้ในปักษ์นี้ค่ะ

ความรัก สำหรับคนโสดจะได้พบมิตรใหม่จากการเดินทางโดยที่คุณไม่ได้คาดคิดมาก่อน และคุณรู้สึกถูกใจด้วยค่ะ จะมีคนมาชอบคุณมากกว่าหนึ่งคน ลองพิจารณาดูนะคะว่าคนไหนน่าคบหามากที่สุดค่ะ

สำหรับคนที่มีคนรู้ ใจแล้วจะมีเรื่องไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก เรียกว่าไม่ได้ดั่งใจ และอาจจะมีเรื่องเสียเงินเพราะคนรู้ใจมาขอความช่วยเหลือด้วยในปักษ์นี้ค่ะ

ครอบครัว ในครอบครัว จะมีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับเด็ก ๆในครอบครัว หรือบุตรหลาน นำเรื่องมาให้แก้ไข อาจจะมีอุบัติเหตุเล็กน้อยจากความไม่รอบคอบของตนเอง สุขภาพระวังการป่วยไข้ หรือการกำเริบของโรคประจำตัวไว้ด้วยนะคะ

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เลี้ยงไซบีเรียน ฮัสกี้ อย่างมืออาชีพ!

ก่อนอื่นขอแนะนำ ฟาร์มที่มาให้ความรู้กับเราก่อน

ลานนาไซบีเรียน เริ่มเป็นผู้เพาะพันธุ์สุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 สุนัขพ่อแม่พันธุ์ตัวตั้งต้นนั้นได้นำเข้ามาจากฟาร์มไซบีเรียนที่ติดอันดับ ท็อป 3 ฟาร์มที่ดีที่สุดในโลก ลานนามีแม่พันธุ์ที่มีดีกรีเป็นถึงแคนาดาแชมเปี้ยน ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวที่นำเข้ามาในเมืองไทยจากฟาร์ม Innisfree ซึ่งเป็น 1 ใน ท๊อป 3 โดยตรงและเป็นสุนัขจาก Innisfree ตัวเดียวที่ได้แชมป์ก่อนนำเข้าเมืองไทย

สำหรับผู้ที่จะ เริ่มเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้ นี่คือคำแนะนำจากฟาร์มมืออาชีพ

การนำสุนัขใหม่เข้ามาในบ้านควร เป็นวัน ที่คุณมีเวลาว่างทั้งวัน และเป็นช่วงเวลาเช้า เพราะสุนัขจะได้มีเวลาทำความคุ้นเคยกับสถานที่และกับคุณด้วย โดยสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อที่จะเลี้ยงและดูแลเค้าให้ดีคือ

1. การจัดหาที่หลับนอน สถานที่หลับนอนของไซบีเรียน ฮัสกี้ ควรจะกั้นคอกให้เป็นสัดส่วน มีขนาดใหญ่ แข็งแรง (ไซบีเรียน ฮัสกี้ อาจจะกัดหรือปีนหนีออกไปได้) อากาศถ่ายเทสะดวก และมีมุ้งลวดเพื่อป้องกันยุง และถ้าคุณไม่คิดที่จะให้สุนัขของคุณนอนในบ้าน ก็ไม่ควรจะให้สุนัขนอนในบ้านตั้งแต่คืนแรก เพราะจะทำให้แก้ไขนิสัยได้ยาก

2. สถานที่ขับถ่าย คุณควรกำหนดบริเวณขับถ่ายของสุนัขของคุณให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก โดยต้องฝึกการขับถ่ายให้เป็นที่ เพื่อความสะดวกของคุณในการทำความสะอาด และเพื่อสุขลักษณะที่ดีของสุนัข

3. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญมากของ ไซบีเรียน ฮัสกี้ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณ รวมถึงเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของสุนัขเองด้วย และด้วยอุปนิสัยที่มีความกระตือรือร้น และชอบสิ่งใหม่ๆ การได้ออกไปออกกำลังกายนอกบ้านจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ไซบีเรียน ฮัสกี้ มีความสุขมากๆ และนอกจากนี้การพาไปออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหากินยากของเจ้า ไซบีเรียน ฮัสกี้ได้อีกทางหนึ่ง

4. การอาบน้ำ การอาบน้ำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำบ่อยๆ เหมือนสุนัขพันธุ์อื่น แต่ควรจะอาบน้ำให้สุนัขของคุณเมื่อเริ่มสกปรก และมีกลิ่น ควรอาบน้ำให้สุนัขตอนเช้า ที่แดดยังไม่แรงมาก ขนจะแห้งง่ายขึ้น เวลาอาบแนะนำให้ผูกสายจูงไว้ตลอดเวลา อย่าราดน้ำบนหัวสุนัขโดยตรง

ควรเลือกใช้แชมพูสำหรับสุนัขที่มี ความอ่อนโยนมากๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดของไซบีเรียน ฮัสกี้ก็คือ เมื่อคุณอาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องเป่าขนให้แห้งสนิท เพราะ ขนด้านในของไซบีเรียน ฮัสกี้ ถ้าไม่แห้งอาจทำให้เป็นโรคผิวหนังได้

5. การตัดเล็บ ต้องอาศัยความชำนาญ ถ้าคุณไม่เคยตักเล็บให้สุนัขมาก่อน อาจจะให้ช่างตัดให้ดูก่อน แล้วค่อยลองตัดเอง โดยควรใช้ที่ตัดเล็บสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ ควรตัดให้ห่างจากเนื้อสีชมพู ใต้เล็บประมาณ 2 มิลลิเมตร สำหรับเจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้ ด้วยลักษณะสายพันธุ์เป็นสุนัขที่มีความกระตือรือร้นมาก ชอบที่จะออกกำลังกาย

จึงทำให้เล็บของมันฝนกับพื้นและทำให้สั้นลงอยู่แล้วโดยธรรมชาติ จึงทำให้ไม่ต้องห่วงในส่วนนี้มาก แต่อย่างไรก็ตามคุณก็ควรที่จะดูแล เอาใจใส่เรื่องนี้ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการทำกิจกรรมของสุนัขของคุณ

6. การทำความสะอาด หู เป็นสิ่งนึงที่ช่วยในการป้องกันปัญหาช่องหูอักเสบ หรือกรณีเกิดช่องหูอักเสบขึ้นมาแล้ว การล้างทำความสะอาดช่องหู ก็จะช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อต้องล้างหูสัตว์เลี้ยงให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหูโดยตรง ค่อยๆเช็ดทำความสะอาดช่องหูเบาๆ บีบยาล้างทำความสะอาดหูลงไปในรูหู บีบนวดเบาๆรอบกกหูเพื่อให้น้ำยากระจายตัวแล้วเช็ดให้แห้ง หรือจะใช้ cotton bud (ไม่สำลีแคะหู) ชุบน้ำยาแล้วค่อยๆ เช็ดในรูหูก็ได้

7. การให้อาหาร การวางแผนอาหารที่เหมาะสมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าสุนัขได้รับอาหารตรงตามความต้องการทางด้านคุณค่าทาง โภชนาการ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตและพัฒนาการของสุนัข

การปฏิบัติตามโปรแกรมการให้อาหารที่ออกแบบไว้อย่างเหมาะสมโดยเคร่งครัด นั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการเริ่มต้นที่ดีในการวางแผนโภชนาการ สำหรับสุนัข อาหารสำหรับไซบีเรียนท่านจะต้องให้อาหารเสริมสร้างร่างกายทุกชนิดที่สุนัข ต้องการ เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและพัฒนา

ซึ่งได้แก่ โปรตีนซึ่งช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แคลเซียมซึ่งช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เหล็กซึ่งช่วยบำรุงเลือด และแคลอรี่ในปริมาณที่เพียงพอให้สุนัขมีพลังงานไปเผาผลาญ เมื่อก่อนเราใช้อาหารเกรดซุปเปอร์พรี เมี่ยมให้สุนัขในฟาร์ม ซึ่งสุนัขของเราก็มีสุขภาพแข็งแรงดี มีขนสวยเป็นเงางาม แต่เมื่อได้ลองมาใช้อาหารสุนัขยี่ห้อ Dog 'n joy ปรากฎว่าสุนัขในฟาร์มทุกตัวก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีมาก ขนก็ยังสวยและสุขภาพก็ไม่ต่างจากเดิม การเปลี่ยนยี่ห้ออาหารครั้งนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก เนื่องจาก ฟาร์มเรามีสุนัขกว่า 20 ตัว

ข้อสุดท้ายด้วยสัญชาตญาณนักล่า ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ความกระฉับกระเฉง และความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไซบีเรียน ฮัสกี้ จึงควรอยู่ในสายจูงเสมอเวลาที่คุณพาเขาออกไปนอกบ้าน และจะปล่อยให้เป็นอิสระได้เฉพาะเวลาที่อยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิดเท่า นั้น

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆไม่ว่าจะเป็นสุนัขสายพันธุ์ไหน ก็ย่อมจะต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งคนรักสุนัขจะต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะเลือกเลี้ยง สุนัข และใครที่กำลังจะตัดสินใจเลี้ยงน้องหมา ไซบีเรียน ฮัสกี้ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติ 1 กรกฎาคม



ประวัติความเป็นมาของลูกเสือ

ลูกเสือได้กำเนิดครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2450โดยท่านลอร์ดบาเดน เพาเวลล์ กิจการลูกเสือในยุคแรกมีจุดประสงค์เพื่อเตรียมคนไว้เป็นทหาร หลายประเทศที่ไม่มีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร จึงได้จัดให้มีลูกเสืออย่างประเทศอังกฤษบ้าง หลังจากนั้นไม่นานกิจการลูกเสือก็ได้แพร่หลายเข้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา

ในปี พ.ศ. 2451 ลอร์ด บาเดน เพาเวลล์ ได้แต่งหนังสือคู่มือการฝึกอบรมลูกเสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า Scouting For Boys และคำว่า "Scout" จึงใช้เป็นคำเรียกผู้ที่เป็นลูกเสือซึ่งมีความหมายมาจาก

S ย่อมาจาก Sincerity แปลว่า ความจริงใจ

C ย่อมาจาก Courtesy แปลว่า ความสุภาพอ่อนโยน

O ย่อมาจาก Obedience แปลว่า การเชื่อฟัง

U ย่อมาจาก Unity แปลว่า ความเป็นใจเดียวกัน

T ย่อมาจาก Thrifty แปลว่า ความประหยัด


และในปีนี้เอง ได้มีการจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นกองแรกในประเทศอังกฤษ ซึ่งกิจการลูกเสือได้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว จนต่อมาในปี พ.ศ. 2452 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ที่ 1 ทรงรับอุปภัมภก เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นความสำคัญและประโยชน์ของลูกเสือ จึงได้ก่อตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นประเทศที่ 2

ต่อมาใน พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกองเสือป่าขึ้น เพื่อให้ข้าราชการพลเรือนได้เข้ารับการอบรม โดยมีจุดประสงค์ที่จะมุ่งอบรมจิตใจให้คนไทยรู้จักรักชาติมีมนุษยธรรม มีความเสียสละ สามัคคี และมีความกตัญญู

เมื่อกิจการของเสือป่าเจริญก้าวหน้ามั่นคงดีแล้วพระองค์ จึงทรงพระราชดำริว่า ควรจะได้มีการอบรมของเสือป่าด้วย ดังนั้นในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 จึงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งลูกเสือขึ้นในประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จากนั้นนานาชาติในยุโรปจึงจัดตั้งกองลูกเสือของตนขึ้น ลูกเสือกลายเป็นองค์การสากลและมีความสัมพันธ์กันทั่วโลก เป็นสื่อผูกมิตรไมตรีกันโดยใช้กฎของลูกเสือ 10 ประการ ผูกสัมพันธ์กันไม่เว้นเชื้อชาติใด ศาสนาใดทั้งสิ้น ถือว่าลูกเสือทั่วโลกเป็นพี่น้องกันหมด

ลูกเสือกองแรกของไทยตั้งขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเรียก "ลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ 1" ต่อมาขยายตัวออกไปจัดตั้งที่โรงเรียนหรือสถานที่ใดสุดแต่สภากรรมการคณะลูก เสือแห่งงชาติจะเห็นสมควร เด็กที่จะเป็นลูกเสือจะต้องทำพิธีเข้าประจำกอง กล่าวคำปฏิญาณตนตามคำมั่นสัญญานั้น พระองค์ผู้ทรงให้กำเนิดลูกเสือได้พระราชทานคำขวัญไว้ว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" ในสมัยนั้นกิจการลูกเสือไทยเลื่องลือไปยังนานาชาติว่า "พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงใฝ่พระทัยในกิจการลูกเสือเป็นอย่างยิ่ง" ถึงกับกองลูกเสือที่ 8 ของประเทศอังกฤษ ได้มีหนังสือขอพระราชทานนามนามลูกเสือกองนี้ว่า "กองลูกเสือในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม" พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ตามความประสงค์ ลูกเสือกองนี้ติดเครื่องหมายช้างเผือกที่แขนเสื้อทั้งสองข้างและยังปรากฏ อยู่ตราบเท่าทุกวันนี้

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟื้นฟูอีก โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการชุมนุมลูกเสือแห่งชาติขึ้นครั้งแรกในบริเวณพระราชอุทยานสราญรมย์ เมื่อ พ.ศ. 2470 จากนั้นได้จัดให้มีการอบรมลูกเสืออีกหลายรุ่นกระทั่งถึงปี พ.ศ.2475 เป็นปีสุดท้ายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว กิจการลูกเสือได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วย สมัยนั้นได้ช่วยบำเพ็ญประโยชน์แก่ข้าราชการ ทหาร ในการปราบจราจล รัฐบาลจึงจัดตั้งหน่วยยุวชนทหารฝึกวิชาทหารขึ้นโดยรับเด็กที่ได้เป็นลูกเสือ มาแล้ว ส่วนกิจการลูกเสือก็ขยายให้กว้างขวางขึ้น มีการจัดตั้งกองลูกเสือเหล่าเสนาและลูกเสือเหล่าสมุทรเสนาขึ้นโดยฝึกร่วมกับ ยุวชนทหารการลูกเสือจึงซบเซาลงบ้างในยุคนี้

ปี พ.ศ. 2490 ทางราชการได้ฟื้นฟูกิจการลูกเสืออีกครั้ง มีการจัดชุมนุมของลูกเสือแห่งชาติ ส่งเจ้าหน้าที่ในกองการลูกเสือไปเข้ารับการฝึกอบรมวิชาลูกเสือตามมาตรฐาน สากล และตามแบบนานาประเทศตามลำดับ มีพระราชบัญญัติลูกเสือใช้บังคับโดยคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติเป็นผู้บริหาร วัตถุประสงค์ของขบวนการลูกเสือได้รับการปรับปรุงและเน้นให้เห็นชัดเจนรัดกุม ยิ่งขึ้น มีความว่า "คณะลูกเสือแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา ลูกเสือทั้งทางกาย สติปัญญา จิตใจ และศีลธรรม ให้เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบสร้างสรรค์สังคมให้มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อความสุขและความมั่นคงของประเทศชาติ"

แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสวรรคต แล้วก็ ตาม พระราชอนุสรณ์กิจการลูกเสือของพระองค์ท่านได้พัฒนารุ่งเรืองมาตามลำดับจน เป็นกิจการที่สร้างคุณประโยชน์สร้างชื่อเสียงของประเทศให้ขจรขจายเป็นที่ รู้จักของนานาประเทศทั่วโลก และเพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ท่าน ทางราชการจึงได้กำหนดวันที่ 1 กรกฎาคมของทุกปีเป็น "วันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ" หรือ "วันลูกเสือ"

กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติ

- ทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านผู้ให้กำเนิดลูกเสือแห่งประเทศไทย
- จัดนิทรรศการ เผยแผ่ ประวัติความเป็นมาของลูกเสือและผลงานต่างๆ
- ร่วมกิจกรรมต่างๆในวันลูกเสือ เช่น การนำพวงมาลาไปถวายบังคมที่พระบรมรูปฯ สถานพระบรมราชานุสรณ์ หรือที่ที่ทางราชการกำหนด
- เข้าร่วมกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่างๆ

คำปฏิญาณของลูกเสือ

"ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า"
ข้อ 1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ข้อ 2 ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ 3 ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ

กฎของลูกเสือ

ข้อ 1 ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้
ข้อ 2 ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ข้อ 3 ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ 4 ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสือทั่วโลก
ข้อ 3 ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
ข้อ 6 ลูกเสือมีความเตตากรุณาต่อสัตว์
ข้อ 7 ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดาและผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
ข้อ 8 ลูกเสือมีใจร่าเริงและไม่ย่อท้อต่อความลำบาก
ข้อ 9 ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์
ข้อ 10 ลูกเสือประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภัยผิวที่แฝงมากับฤดูฝน


ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกชุกในช่วงนี้ ภาวะหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อฝนตกคือมักเจอกับอากาศที่อับชื้น ทำให้บางครั้งอาจเกิดผื่นแปลกๆ ขึ้นบนผิวหนังได้
ปัญหาที่พบได้เสมอในช่วงหน้าฝนมักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา เนื่องจากลักษณะเฉพาะของเชื้อโรคกลุ่มนี้ที่เจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่ชื้น แฉะ ผื่นจากเชื้อรามีได้หลากหลายรูปแบบ เรามาดูผื่นที่พบได้บ่อยๆ กันดีกว่า

วงด่างๆ สีขาวหรือสีเนื้อ ในบางคนอาจขึ้นเป็นวงสีน้ำตาล ร่วมกับมีขุยสีขาวเล็กๆ มักเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้

นอกจากดูไม่สวยงามแล้วยัง ทำให้เสียบุคลิก ผื่นชนิดนี้เป็นลักษณะของโรคเกลื้อน ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่นที่สุขอนามัยไม่ค่อยดี ไม่ชอบอาบน้ำ เชื้อเกลื้อนเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Malassezia furfur สามารถพบได้บนผิวหนังของคนทั่วไป แต่ปกติแล้วไม่ก่อโรค ยกเว้นในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหงื่อออก หรือตากฝน แล้วไม่ยอมอาบน้ำ ร่างกายชื้นแฉะอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดผื่นลักษณะดังกล่าวขึ้น

ในคนที่น้ำหนักมาก หรือภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจเกิดผื่นสีแดงขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ร่วมกับมีอาการคันมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา (Candida) สามารถรักษาให้หายได้โดยการทายาฆ่าเชื้อราทั่วไป แต่มักเป็นซ้ำได้บ่อย เพราะยีสต์ชนิดนี้พบได้ในร่างกายของคนเรา เช่น บริเวณช่องปาก ระบบทางเดินอาหาร และช่องคลอด
ช่วงที่ฝนตกมากๆ บางพื้นที่อาจมีน้ำท่วมขัง หรือเวลาฝนตกนานเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ต้องเดินย่ำน้ำชื้นแฉะเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากยังไม่รีบทำความสะอาดเท้า

ผ่านไปสักระยะหนึ่ง อาจพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาว ๆ หรือเปียกยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีน้ำเหลืองแฉะที่ผิว เรียกว่าโรคน้ำกัดเท้าหรือเชื้อราที่เท้า เกิดจากเชื้อกลากซึ่งอยู่ตามสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ผื่นที่เท้าอาจจะลามไปที่ลำตัวส่วนอื่นได้ ที่พบบ่อยคือทำให้เกิดผื่นบริเวณขาหนีบ เรียกว่า สังคัง

เวลาถอดรองเท้า บางคนอาจมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เมื่อก้มดูที่ฝ่าเท้าจะเห็นเป็นรูพรุนเล็ก ๆ หรือเป็นแอ่งเว้าแหว่งตื้น ๆ เรียกว่า โรคเท้าเหม็น สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์หนาๆ ซึ่งมักจะแห้งยากในหน้าฝน

นอกจากนี้ ในน้ำที่ขังตามพื้นถนนอาจมีพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิปากขอซึ่งสามารถชอนไชเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ หรือ ถ้าโชคไม่ดี ได้รับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฉี่หนูเข้าไปตามรอยแผลเล็กๆ ที่เท้า อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

โดยสรุปแล้ว ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า สาเหตุของโรคส่วนใหญ่มาจากการย่ำน้ำสกปรก หรือปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นอยู่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เชื้อซึ่งพบได้ตามสิ่งแวดล้อมทั่วไปเพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อให้เกิดโรค ดังนั้นการป้องกันอันดับแรกคือหลีกเลี่ยงการเหยียบย่ำน้ำ หรือตากฝน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับถึงที่พัก ควรรีบถอดเสื้อผ้า แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชนิดพิเศษแต่อย่างใดเพราะอาจแรงเกินไป เสร็จแล้วใช้ผ้าซับหรือใช้พัดลมเป่าให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้นและการเสียดสีได้ เสื้อผ้าและถุงเท้าที่ใช้ ควรทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไปเพื่อให้ระบายอากาศได้ดี หน้าฝนผ้ายีนส์จะแห้งยากทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่ายจึงควรระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้แล้วการใส่รองเท้าแตะบ้างก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อราที่เท้าได้ เช่นกัน

... หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน และนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับอากาศในช่วงฤดูฝนนี้ ...

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นวดหน้าลดริ้วรอย

นวดหน้าลดริ้วรอย
ใครที่อยากให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลง วันนี้เรามีวิธีนวดหน้าลดริ้วรอยมาบอก...
เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย

บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบาๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบาๆ นับ 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูบออกด้านข้างในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ท้องริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณกึ่งกลางคางขึ้นไปที่บริเวณมุมปากใน ลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุมปากในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง ทำซ้ำ 3 ครั้ง

ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบาๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลงได้ แถมยังทำให้ผ่อนคลายได้อีกด้วย.

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปาจิงโกะ



ปาจิงโกะเป็นเกมลูกเหล็กแบบตั้ง บนกระดานมีแผงเข็มหมุด เครื่องกีดขวาง และรู เป้าหมายของเกมก็คือ การทำให้ลูกเหล็กผ่านเครื่องกีดขวางต่าง ๆ เพื่อเข้าในรู เมื่อลูกเหล็กผ่านเข้าไปในรูได้ ลูกเหล็กจำนวนหนึ่งจะไหลออกมาเป็นรางวัลผู้เล่นสามารถนำลูกเหล็กเหล่านั้นไป แลกเปลี่ยนเป็นเงินรางวัลได้

ปาจิงโกะมีต้นกำเนิดมาจากเกมลูกเหล็กของเด็ก ๆ ที่ชื่อว่า “กะฉังโกะ” ในระยะแรกการเล่นปาจิงโกะเป็นเกมง่าย ๆ ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องมีทักษะพิเศษในการเล่นแต่อย่างใด แต่นับจากทศวรรษ ๑๙๘๐ รูปแบบของเกมเริ่มซับซ้อนมากขึ้น โดยพึ่งกลไกชนิดใหม่และเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องมีทักษะมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากสามารถพัฒนาโอกาสที่จะชนะให้มากขึ้นได้ โดยเรียนรู้ถึงโอกาสต่าง ๆ ที่น่าจะเป็น และกะเวลาในการตอบสนอง ร้านปาจิงโกะจำนวนมากในปัจจุบันได้เสนอมุมพิเศษสำหรับผู้เล่นสตรีและผู้สูง อายุ

ปาจิงโกะถือเป็นสิ่งหย่อนใจประจำชาติของชาวเมืองในญี่ปุ่น แต่เนื่องจากเครื่องมือต่าง ๆ ได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมาก จึงทำให้ราคาค่าเล่นแพงขึ้น ปาจิงโกะจึงไม่ใช่สิ่งบันเทิงราคาถูกดังที่เคยเป็นมาในอดีต

ชาวญี่ปุ่นที่เป็นแฟนปาจิงโกะมีอยู่ถึง ๒๙ ล้านคน โดยยอดเงินรวมประจำปีของตลาดปาจิงโกะมีอยู่ประมาณ ๔ แสน ๘ หมื่นล้านบาท

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สุนทรภู่

Poo-2.jpg

พระสุนทรโวหาร นามเดิม ภู่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สุนทรภู่ (26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2398) เป็นกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียง ได้รับยกย่องเป็น มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์[ใครกล่าว?] หรือ เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย[1] เกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 4 ปี และได้เข้ารับราชการเป็นกวีราชสำนักในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลาร่วม 20 ปี ก่อนจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นอาลักษณ์ในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต

สุนทรภู่เป็นกวีที่มีความชำนาญทางด้านกลอน ได้สร้างขนบการประพันธ์กลอนนิทานและกลอนนิราศขึ้นใหม่จนกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางสืบเนื่องมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผลงานที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่มีมากมายหลายเรื่อง เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศสุพรรณ เพลงยาวถวายโอวาท กาพย์พระไชยสุริยา และ พระอภัยมณี เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่อง พระอภัยมณี ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนนิทาน และเป็นผลงานที่แสดงถึงทักษะ ความรู้ และทัศนะของสุนทรภู่อย่างมากที่สุด งานประพันธ์หลายชิ้นของสุนทรภู่ได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการ เรียนการสอนนับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เช่น กาพย์พระไชยสุริยา นิราศพระบาท และอีกหลายๆ ส่วนในเรื่อง พระอภัยมณี

ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปีชาตกาล สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้ เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นกำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์แห่งอื่นๆ อีก เช่น ที่วัดศรีสุดาราม ที่จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดนครปฐม วันเกิดของสุนทรภู่คือวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็น วันสุนทรภู่ ซึ่งเป็นวันสำคัญด้านวรรณกรรมของไทย มีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์, ถนอมดวงตาเวลา, ดวงตา, สายตา, ตา
น้อง ๆ วัยเรียนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจเกิดอาการตาแห้ง สายตาล้า ดังนั้น เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ให้ดีไปนานๆ สัปดาห์นี้ Edutainment Zone ชวนมาถนอมดวงตากัน

1.เริ่มจาก 'จอภาพ' ควรห่างจากสายตาประมาณ

1 ช่วงแขน และตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2.ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา นอกจากนี้ อาจติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง

3.คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกล ๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4.หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือ หาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี ลองไปปรับใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดกันดู เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้ใสปิ๊ง และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพให้นานที่สุด.

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

8 เคล็ดล้างหน้าที่คุณไม่เคยรู้



รู้หรือเปล่า สาเหตุหนึ่งของปัญหาสิว นั่นก็คือการล้างเครื่องสำอางค์ออกจากใบหน้าไม่หมดจด แล้วยังทำให้การบำรุงผิวที่ตามมาลงใบบำรุงอย่างไม่เต็มที่อีกด้วย

เรื่องที่น่าสนใจก็คือ มีสาวๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่เชี่ยวชาญเรื่องการแต่งหน้ามากขั้นตอน ยิ่งกว่าการล้างเครื่องสำอางค์เพียงหนึ่งขั้นตอนเสียอีก อย่างนี้ต้องพกเคล็ดลับกันด่วน ผิวจะได้หายใจได้ และไม่แบกสารเคมีจากเครื่องสำอางค์ไว้บนใบหน้าอีกต่อไป

เคล็ดข้อ 1: เลี่ยงสารล้างหน้าที่มีสารสังเคราะกลุ่ม SLS (หรือ SLES)

นั่น เพราะสารเคมีกลุ่มนี้ทำหน้าที่ลดแรงตึงผิว (Sodium Lauryl Sulfate) ทำให้โฟมล้างหน้าเกิดฟอง หลังล้างหน้าผิวจะรู้สึกตึง จึงทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าหน้าสะอาด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เป็นสารเคมีควรเลี่ยงที่อาจทำให้ผิวแพ้ได้ และในปัจจุบันก็มีสารทดแทนสารเคมีตัวนี้มากมายและยังสกัดได้จากธรรมชาติอีก ด้วย

เคล็ดข้อ 2: เคล็ดคือการรักษาความสมดุล

จุดประสงค์ของการล้างหน้า (ที่ไม่รวมการลบเครื่องสำอาง) คือการชะล้างคราบสกปรกและไขมันที่อาจไปอุดตันรูขุมขน แต่การใช้โฟมล้างหน้าที่ทำให้ผิวตึง จะสร้างโอกาสในการนำไขมันตามธรรมชาติให้หลุดออกไป และทำให้สภาพความเป็นกรดอ่อนๆ ของใบหน้า (ที่ทำหน้าที่กำจัดแบคทีเรีย) เปลี่ยนไป ทางที่ดีจึงควรเน้นสารล้างหน้าที่ไม่ทิ้งความตึงผิว และยังคงรู้สึกว่าผิวชุ่มชื่นหลังใช้

เคล็ดข้อ 3: ล้างหน้าตอนเช้าน้อยๆ

เรากำลังหมายถึงการล้างหน้าที่ให้อ่อนโยนที่สุดในช่วงเช้า อาจเป็นสารล้างหน้าที่ไม่มีฟอง การเช็ดด้วย Wipe ที่อ่อนโยน หรือแม้แต่การล้างน้ำเปล่า นั่นเพราะช่วงเวลานอนผิวหน้าของไมได้เผชิญกับฝุ่นควันใดๆ นอกเสียจากการขับเหงื่อและผลิตไขมันเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีความจำเป็นอะไร ที่เราจะใช้โฟมล้างหน้าฟองหนาๆ ให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น

เคล็ดข้อ 4: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็พอ

เมื่อเคล็ดลับคือการรักษาระดับไขมันตามธรรมชาติให้ทำงานตามปกติ การล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น ก็เพียงพอมากแล้ว แต่เน้นสักนิดในช่วงเย็น ที่หากเราแต่งหน้ามาก ก็ควรเช็ดล้างด้วยคลีนซิ่ง โลชั่น หรือ คลีนซิ่ง ออยล์ ก่อน จากนั้นจึงค่อยล้างออกอีกครั้งเพื่อให้ผิวสะอาดที่สุด อาจตามด้วยโทนเนอร์ที่เน้นสารสกัดจากรรมชาติ เพื่อให้กลไกผิวทำงานสอดคล้องกัน

เคล็ดข้อ 5: กดเบาๆ และนวด

ผิวหน้ามีความบอบบางมาก ยิ่งเราลงแรงมากเท่าไร ผิวอาจบอบช้ำ เกิดริ้วรอย หรือรูขุมขนอาจกว้างมากขึ้น ขณะล้างหน้า ลองขยี้เนื้อเจล หรือครีมล้างหน้าก่อนบนฝ่ามือ จากนั้นกดเบาๆ บนผิวแล้วนวดวนเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า ล้างออกให้หมดจด และใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มๆ ซับเบาๆ ให้แห้ง

เคล็ดข้อ 6: แยกการล้างหน้าและการสครับออกจากกัน

แม้การใช้ครีมล้างหน้าที่ผสมสารสครับ (แบบ 2 in 1) จะทำให้เรารู้สึกสะดวกสบาย แต่ก็สามารถทำร้ายผิวได้อย่างไม่ตั้งใจ เพราะการล้างหน้าควรเบามือ ในขณะที่การสครับคือการกดและใช้สารบางชนิดมาช่วยขัดลอกเซลล์ผิว ที่ไม่ควรทำบ่อยๆ หรืออย่างมากเพียงอาทิตย์ละครั้ง ดังนั้นยิ่งไม่เป็นการดีแน่หากเราล้างหน้าพร้อมสารสครับในทุกวัน ที่เป็นการกำจัดสารหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติออกอย่างไม่ตั้งใจ

เคล็ดข้อ 7: ล้างมือให้สะอาดก่อนล้างหน้า

เพราะมือของเราสะสมเชื้อโรคไว้มากมายในแต่ละวัน การปล่อยให้เชื้อโรคเหล่านี้ติดบนใบหน้าจึงไม่ดีแน่ ทางที่ดีควรล้างมือให้สะอาดก่อนด้วยสบู่ หรือล้างหน้าหลังอาบน้ำ จากนั้นจึงค่อยบีบสารล้างหน้าลงบนฝ่ามือ แล้วล้างตามขั้นตอน

เคล็ดข้อ 8: สระผมก่อนล้างหน้า

มีสาวๆ หลายคนมีสิวเพราะแพ้แชมพู ด้วยเพราะแชมพูมีสารเคมีหลายๆ ชนิดเป็นส่วนผสม ซึ่งมีความเข้มข้นสูง เสี่ยงต่อการระคายเคืองง่าย ดังนั้นแล้ว ควรที่จะล้างหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งยังเป็นการทำความสะอาดคราบแชมพูออกจากใบหน้าไปในตัว

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กินนมตอนเช้าแล้วท้องเสีย ใครเป็นงี้บ้างเอ่ย

เกิดเนื่องจากขาดเอ็นไซม์ lactase ซึ่งย่อยน้ำตาล lactose ที่มีอยู่มากในนมนะ น้ำตาล lactose ถ้าไม่ถูกย่อยก่อนจะดูดซึมไม่ได้ จึงค้างอยู่ในลำไส้แล้วออกไปพร้อมกับอุจจาระ ปัญหาคือตัวมันอุ้มน้ำติดตัวไปด้วย ทำให้อุจจาระเหลวหรือท้องเสีย จริงๆ แล้วโปรตีนหรือสารอาหารตัวอื่นๆ ยังถูกดูดซึมได้ แต่ถ้าท้องเสียบ่อยๆ ก็คงไม่ดี เพราะร่างกายจะขาดน้ำ ทำให้อ่อนเพลียได้ ภาวะขาดเอ็นไซม์ lactase หรือผลิตเอ็นไซม์นี้ได้น้อยพบได้บ่อยในคนไทย
อาจเลี่ยงไปใช้ แหล่งโปรตีนอื่นที่ไม่ใช่นม หรือใช้นมชนิดที่สกัดเอาน้ำตาล lactose ออกไปมากแล้ว หรือใช้ชนิดที่ผสมเอ็นไซม์ lactase เอาไว้ด้วย


ใน นมนั้นจะมีโปรตีน และน้ำตาลมอลโตสอยู่ ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ร่างกายมนุษย์สามารถที่จะย่อยสลายได้น้ำตาลกลูโคส และกาแลกโตสโดยใช้น้ำย่อยแลคเตส แต่ว่าคนเอเชียเมื่อโตขึ้นนั้น ร่างกายจะลดการผลิตน้ำตาลนี้ไป ทำให้ไม่สามารถย่อยได้ ส่งผลให้จุลินทรีย์ในท้องนั้นนำน้ำตาลไปใช้ เกิดการย่อยสลายและกลายเป็นแก๊สออกมา นอกจากนี้ทำให้ร่างกายต้องดึงน้ำมาขับจุลินทรีย์เหล่านี้ออกไป ส่งผลให้ท้องเดิน ท้องอืด จุกเสียด และท้องเสีย ขี้เหลวไหลเป็นน้ำใสๆ
วิธี แก้ทางหนึ่งที่เขียนไว้ก็คือให้กินโยเกิร์ตแทน วิธีต่อมาคือกินแต่น้อย วิธีลดอาการท้องเสียก็คือกินให้น้อยลง ท้องจะแค่ทุรนทุราย แต่ไม่ถึงกับเสีย หรือกินพร้อมอาหารอื่นๆ เพื่อให้ท้องได้ย่อยอาหารพร้อมกัน

onion25

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

13 วิธีแก้โรคเครียดในที่ทำงาน



13 วิธีแก้โรคเครียดในที่ทำงาน


หากคุณรู้สึกว่างานที่ทำกำลังปลุกต่อมเครียดให้มีชีวิต ไหนจะมีประชุมแต่เช้าตรู่ นั่งทำงานที่โต๊ะไม่ถึง 10 นาที ก็มีโทรศัพท์เข้ามาไม่ขาดสาย บ่ายก็ต้องวิ่งออกไปหาลูกค้า ตอนเย็นยังต้องกลับมาทำ Report ส่งเจ้านาย เวลากลับบ้านไม่วายรถก็ติดแสน ฯลฯ เรามีวิธีช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายๆ แถมเติมโบนัสทางความคิดและมุมมองดีๆ แบบนี้เลย...

1. สูดกลิ่นหอม รู้หรือเปล่าว่า กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์จะช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียดๆ ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ อย่างกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยตรงโต๊ะทำงานก็ไม่เลวนะ เชื่อสิว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเลยเชียว

2. ตากอากาศระยะสั้น เมื่อความเครียดรุมเร้า ก็ไม่ควรอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ทางที่ดีคุณควรหาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์ใกล้ๆ ธรรมชาติสักพัก อาจเป็นสวนหย่อมในที่ทำงาน หรือคาเฟทาเรียใกล้ๆ จากนั้นเดินผ่อนคลายและหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่มันมาจากชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป

WOW! เพียงแค่ 10 นาทีวิธีนี้ก็จะชาร์จพลังให้หัวใจของคุณให้ดีขึ้นได้

3. จินตนาการแสนสุข อีกทางเลือกในการบรรเทาความเครียด คือ ดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน โดยหลับตาแล้วหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ แล้วหยุดไว้สองวินาทีก่อนหายใจออก การหยุดช่วงสั้นๆ จะมีผลทำให้ระบบประสาทสงบลง ทำแบบนี้ในที่เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองว่าจะรู้สึกดีแบบทันตาเห็น จากนั้นก็นึกถึงช่วงเวลาดีๆ ในการทำงาน เช่น วันที่ได้รับคำชมจากเจ้านาย หรืองานชิ้นโบว์แดงที่คุณทำแล้วรู้สึกภาคภูมิใจ เป็นต้น

4. หนังสือบำบัด หาหนังสือที่อ่านแล้วสบายใจ เล่มบางๆ มาไว้ใกล้มือ เครียดเมื่อไหร่หยิบมาพลิกอ่านสักหน้าสองหน้าแก้เครียด

5. สร้างอารมณ์ขัน หลังจากทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ลองชวนเพื่อนที่มีอารมณ์ขันคุยเบาๆ จะช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง คนที่หัวเราะง่ายมักมีสุขภาพกายและจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาททางหนึ่งด้วย (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด)

DID YOU KNOW! สำหรับบางคนการหัวเราะเพียงครั้งเดียวมีค่าเท่ากับการผ่อนคลายสี่สิบห้านาทีเต็มทีเดียว

6. พลังแห่งการสัมผัส ถ้ามีเพื่อนสนิทในที่ทำงานอาจสลับสับเปลี่ยนกันนวดบรรเทาอาการเครียด เพราะการโอบกอดหรือสัมผัสเบาๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ชื่อ ออกซิโทชิน ช่วยลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ทำให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

MUST DO! นวดศีรษะ โดยกางนิ้วออกแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ไล้จากคางขึ้นไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับมาที่ท้ายทอย หรือจะนวดบริเวณหางตาได้ด้วยก็ได้

7. โทรหาเพื่อนรู้ใจ อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ทุกปัญหาได้ไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งแค่ไหนก็ยังต้องการที่พึ่งพิงบ้าง ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสักคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ การมีคนรับฟังและให้คำปรึกษาจะทำให้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงเริ่มเข้าที่เข้าทาง มากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า คุณไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลก แต่ขอเตือนว่าอย่าเมาท์เพลินจนเสียงานก็แล้วกัน

8. หามุมสงบ - ฟังเพลง ฟังเพลงเบาๆ โดยเฉพาะเพลงแนว Meditation ทั้งเสียงบรรเลงดนตรีและเสียงธรรมชาติ อย่างเสียงคลื่น น้ำตก นกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคืนสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์

9. ทดลองหลับ บางตำรากล่าวไว้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาสมดุลแห่งความเครียด คือ การฝึกจิตง่ายๆ ครั้งละ 10 - 15 นาที เช้าและเย็น ด้วยการนั่งท่าสบายๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่วางไขว้กัน หรือหาที่เหมาะนอนท่าเหยียดยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย เพื่อผ่อนคลายง่ายๆ

DID YOU KNOW! ในทางทฤษฎีว่าไว้เมื่อคุณหลับตาสามารถตัดข้อมูลต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์

10. อย่าคาดหมายล่วงหน้า การมัวแต่คิดถึงการนัดหมายสำคัญๆ ในวันรุ่งขึ้น จะทำให้เข้านอนดึกด้วยความกังวลและเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก ทางที่ดีทำใจให้สบายผ่อนคลายให้มากที่สุด บอกตัวเองว่าพักให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้จะดีเอง จากนั้นตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า เพื่อจะได้เตรียมตัวจนมั่นใจ โดยไม่อ่อนเพลีย

11. รู้จัก “เลี่ยง” เมื่อถึงเวลา ในชีวิตการทำงานมักมีหลายเรื่องที่เข้ามากระทบความรู้สึกจนเกิดอารมณ์ แต่แทนที่จะตอบโต้กลับทันทีอย่างขาดสติ จนอาจทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต การเดินหนีไปก่อน รอให้อารมณ์เย็นลงหรืออยู่กับโต๊ะทำงานตัวเองเงียบๆ จัดข้าวของหรือหาอะไรที่ไม่ต้องใช้สมาธิสูงมากทำ ลดความเครียดลงได้จนกว่าคุณพร้อมที่จะกลับมาลุยงานอีกครั้ง

12. สร้างกำลังใจให้ตัวเอง ความผิดพลาดบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้แล้วก็จำเป็นต้องยอมรับแล้วใช้เป็นบท เรียน แต่จงอย่างให้ความผิดพลาดนั้นกลายเป็นสิ่งที่มากดดันให้คุณเครียดจนเกินไป

MUST DO! อย่ามัวคิดถึงสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ควรเปิดใจให้กว้าง และกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาในการ หาทางแก้ไขให้ดีขึ้น

13. คิดในทางบวก จำไว้ว่าการมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน คิดถึงประสบการณ์ดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิตให้บ่อยขึ้น รวมถึงคิดถึงความปรารถนาดีของคนอื่นที่มีต่อคุณก็จะช่วยให้เป็นคนที่เครียด น้อยลงและมีความสุขมากขึ้นได้

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เจงกิส ข่าน Genghis Khan


เจงกิส ข่าน เป็นนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เขาเป็นผู้นำของเผ่ามองโกลเล็กๆ ในเอเชีย และได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ อาณาจักรดังกล่าวประกอบด้วยอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ของรัสเซีย จีน และตะวันออกไกล มองโกลเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนที่ราบของเอเชียกลาง เจงกิส ข่าน เป็นผู้นำของชนเผ่านี้ เขาเกิดใน ปี ค.ศ.1155 เมื่ออายุ 13 ปี เขาได้เริ่มปราบเผ่ามองโกลอื่นๆ จากจีน แล้วรวบรวมชาวมองโกลทั้งหมดเป็นกองทัพที่ทรงพลัง ชื่อจริงๆ ของเขาคือ เตมูจิน แต่ในปี 1206 เขาได้รับการขนานนามว่า เจงกิส ข่าน ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ปกครองนิรันดร" เจงกิส ข่าน เป็นผู้นำทางทหารที่ยิ่งใหญ่ เขาวางแผนที่จะปกครองโลกทั้งโลก และได้รวบรวมชาวมองโกลสู่ศึกแบบทหารจริงๆ กองทัพมองโกลของเขาใช้ธนูเป็นอาวุธ ซึ่งสามารถยิงได้ไกลถึง 183 เมตร หลังจากเขาสิ้นชีวิตในปี ค.ศ.1227 แล้ว ลูกชายของเขาทั้งสี่ก็ได้ปกครองอาณาจักรของเขาสืบต่อมา

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเกิดคลื่นสึนามิครั้งสำคัญๆ ในอดีต



การเกิดคลื่นสึนามิครั้งสำคัญๆ ในอดีต โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา จารุศิริ และศาสตราจารย์กิตติคุณ ไพฑูรย์ พงศะบุตร
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้มีการกล่าวถึงคลื่นขนาดใหญ่ที่เกิดจากภูเขาไฟ ระเบิดในทะเลอีเจียน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อ ประมาณ ๓,๖๐๐ ปีมาแล้ว ในครั้งนั้นปรากฏว่า ภูเขาไฟที่เกาะซานโตรินี (Santorini) ซึ่งปัจจุบันเรียกชื่อว่า เกาะทีรา (Thira) อยู่ทางตอนใต้ของประเทศกรีซ เกิดการปะทุอย่างรุนแรง จนทำให้ตัวเกาะหายไป เกือบหมด และเกิดคลื่นขนาดใหญ่ติดตามมา ทำให้ผู้คนล้มตายและอาคารบ้านเรือน เสียหาย ผลจากพิบัติภัยในครั้งนั้นทำให้วัฒนธรรมมิโนอา (Minoan Culture) ของกลุ่มชนโบราณ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะครีตต้องเสื่อมสลายลง การเกิด คลื่นใหญ่ดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการเกิดคลื่นจากแผ่นดินไหว หรือคลื่นสึนา มิ ที่มีการบันทึกไว้เก่าแก่ที่สุด

ในพ.ศ. ๒๓๙๘ ได้เกิดแผ่นดินไหวบริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไอบีเรียในยุโรปตอน ใต้ ส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่เคลื่อนที่เข้าสู่ชายฝั่งของประเทศ โปรตุเกส สเปน และโมร็อกโก มีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวและคลื่นใหญ่ ประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน

วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ภูเขาไฟบนเกาะกรากะตัว (Krakatoa) ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะสุมาตรากับเกาะชวาในช่องแคบซุนดาของประเทศ อินโดนีเซีย ได้เกิดการปะทุอย่างรุนแรง และเกิดคลื่นยักษ์สูงมากกว่า ๓๐ เมตร ซัดเข้าหาฝั่งเกาะสุมาตราและเกาะชวา มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๓๖,๐๐๐ คน ซากปะการัง เศษหิน และวัสดุต่างๆ ถูกคลื่นหอบขึ้นบนฝั่ง หนักประมาณ ๖๐๐ ตัน และหมู่บ้านตามชายฝั่งถูกทำลายเสียหายประมาณ ๑๖๕ แห่ง นับเป็นพิบัติภัยครั้งใหญ่ที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดและคลื่นสึนามิ ใน ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก

วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๙ เกิดคลื่นสึนามิ ชื่อ เมจิซันริจุ (Meiji Sanriju) ที่ประเทศ ญี่ปุ่น เคลื่อนที่เข้าสู่ฝั่งสูงประมาณ ๓๐ เมตร มีผู้เสียชีวิต ประมาณ ๓๗,๐๐๐ คน และบ้านเรือนเสียหายประมาณ ๑๐,๐๐๐ หลัง

วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เกิดแผ่นดินไหวที่บริเวณชายฝั่งของรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา ต่อมาอีกประมาณ ๕ ชั่วโมง คลื่นสึนามิได้เคลื่อนที่ไปถึงเมืองฮีโล (Hilo) บนเกาะฮาวาย ของรัฐฮาวาย ในมหาสมุทรแปซิฟิก คลื่นสูงประมาณ ๖ เมตร ทำลายอาคารบ้านเรือน สะพานรถไฟ และถนนเลียบชายหาดเสียหายเป็นจำนวนมาก มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๑๖๐ คน

วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ เกิดแผ่นดินไหวที่ชายฝั่งของประเทศชิลี ในทวีปอเมริกาใต้ และได้เกิดคลื่น สึนามิแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางในมหาสมุทรแปซิฟิกปรากฏว่าที่รัฐฮาวายของ สหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวถึง ๑๐,๖๐๐ กิโลเมตร ได้รับภัยจากคลื่นสึนามิที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วประมาณ ๗๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตที่เมืองฮีโล ๖๑ คน คลื่นสึนามิยังเคลื่อนตัวต่อไปถึงประเทศญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิต ประมาณ ๑๔๐ คน

วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เกิดคลื่นสึนามิที่ชายฝั่งของประเทศนิการากัว ในอเมริกากลาง ยอดคลื่นสูง ประมาณ ๑๐ เมตร มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๑๗๐ คน และบ้านเรือนเสียหายประมาณ ๑๓,๐๐๐ หลัง

วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เกิดคลื่นสึนามิที่เกาะฟลอเรส ทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย ยอดคลื่นสูง ประมาณ ๒๖ เมตร มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๒,๑๐๐ คน

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เกิดแผ่นดินไหวบริเวณใกล้ชายฝั่งตะวันออกของเกาะนิวกินี ซึ่งอยู่ทางเหนือของทวีปออสเตรเลีย ทำให้เกิดคลื่นสึนามิที่บริเวณชายฝั่ง ของประเทศปาปัวนิวกินี ทำลายป่าชายเลนและอาคารบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก มี ผู้เสียชีวิตที่เมืองไอตาเป (Aitape) ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายฝั่งตอนเหนือของประเทศ ประมาณ ๒๒,๐๐๐ คน

ปรากฏการณ์คลื่นสึนามิที่นำมากล่าวไว้ข้างต้นนี้ เป็นเพียงกรณีตัวอย่างของ การเกิดคลื่นสึนามิครั้งสำคัญๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ยังมีคลื่นสึนามิครั้งย่อยๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะเวลาต่างๆ จากการศึกษาของนักธรณีวิทยาเกี่ยวกับ ความถี่ของการเกิดคลื่นสึนามิในโลกว่ามีบ่อยครั้งเพียงใด ได้มีผลงานของโซโลเวียฟ (Soloviev) ซึ่งจัดพิมพ์เผยแพร่โดยองค์การยูเนสโก สหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้ความเห็นว่าคลื่นสึนามิที่มีความรุนแรงมากมักเกิดขึ้นโดยเฉลี่ย ๑๐ ปีต่อครั้ง ส่วนคลื่นสึนามิที่มีความรุนแรงปานกลางเกิดขึ้น ๑ - ๓ ปีต่อครั้ง และคลื่นสึนามิที่มีความรุนแรงน้อยเกิดขึ้น ๔ - ๘ เดือนต่อครั้ง นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับความถี่ของการเกิดแผ่นดิน ไหวที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิในประเทศอินโดนีเซียทุกๆ คาบ ๑๐ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๕๓ - พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งรายงานว่าในแต่ละคาบ ๑๐ ปี จะมีแผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิระหว่าง ๑ - ๑๒ ครั้ง แต่เมื่อครบรอบทุก ๗๐ ปีครั้งใด จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็น ๑๔ - ๒๑ ครั้งในคาบ ๑๐ ปีนั้น นอกจากนี้การเกิดแผ่นดินไหวจะมีจำนวนครั้งและความรุนแรงทางด้านตะวัน ออกของประเทศอินโดนีเซียมากกว่าทางด้านตะวันตก

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หัวบีทรูทกับสูตรแก้สิวอักเสบ

ปกติ หัวบีทรูทที่ คนรู้จักรับประทานคือนำไปปั่นเป็นน้ำปั่นสีม่วงดื่มคล้ายกับน้ำปั่นหัวแครอต มีคุณค่าทางโภชนาการให้วิตามินซีและวิตามินเอสูง เป็นอาหารให้ไฟเบอร์มาก ทั้งยังมีโปแตสเซียมลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง บำรุงเลือด บำรุงไต ถุงน้ำดี เป็นอาหารล้างพิษ มีสารชื่อ เบทานิน ช่วย รักษามะเร็งระยะแรกเริ่ม ใช้เป็นสีผสมในเครื่องดื่ม มีรสหวาน เป็นส่วนประกอบการทำขนมลูกกวาด และเจลลี่ผลไม้ ต่างๆ ได้อร่อยมาก นอกจากนั้น ยังนิยมใช้ทำเป็น ซุปบีทรูทครีมข้นสลัดผัก หรือหั่นเป็นแว่นบางๆ สอดไส้กลางแฮมเบอร์เกอร์เพิ่มรสชาติเป็นที่นิยมของผู้รับประทานยิ่งนัก

ปัจจุบัน พบว่า หัวบีทรูทนำไปใช้เป็นโภชนาบำบัดช่วยในการรักษาผู้ที่เป็นสิวชนิดมีหนอง หรือสิวอักเสบ น้ำเหลืองเสียได้เด็ดขาดนัก

โดยมีวิธี ทำแบบง่ายๆ คือ เอาหัวสดของ บีทรูทจำนวน 1 หัว ต้มกับน้ำจำนวนตามใจชอบ หรือกะพอประมาณจนเดือด ไม่ต้องเติมอะไรลงไป ดื่มขณะอุ่น หรือจะรับประทานเนื้อด้วยก็ได้ จะช่วยบำบัดอาการสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสียได้ แต่ต้องทำกินบ่อยๆ ไม่ต้องทำกินประจำหรือกินเรื่อยๆ ใจเย็นๆ จะสังเกตเห็นว่าสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสีย จะค่อยๆดีขึ้นและหายได้ ซึ่ง หัวบีทรูทส่วน ใหญ่มีปลูกเป็นพาณิชย์เก็บหัวขายทางภาคเหนือของไทย มีหัวขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ตลาด อ.ต.ก. ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ราคาอยู่ระหว่าง 50-60 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม

หัวบีทรูท (BEETROOT) หรือ BETA YULGSRIS SUBSP VULGSRIS เป็น พืชจำพวกผัก มีหัวใต้ดินเหมือนหัวหอมใหญ่ หัวโตเท่ากำมือผู้ใหญ่ เนื้อฉ่ำน้ำเป็นชั้นๆ สีม่วงเข้ม หรือม่วงอมแดง รสชาติหวาน ต้นและใบเป็นสีม่วงหมด ชาวกรีกโบราณรู้จักนำ หัวบีทรูทกินเป็นอาหารและใช้รักษาอาการท้องผูกมานานกว่า 2 พันปีแล้ว และยังใช้ต้มกินกับเนยเหมือนมันฝรั่งให้คุณค่าทางอาหารดีมาก

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ … รักษา "รองเท้า" ให้เหมือนใหม่


ใคร ที่มีรองเท้าคู่โปรด แล้วอยากให้รักษารองเท้าคู่โปรดดูเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา วันนี้เกร็ดความรู้มีเคล็ดลับการดูแลรักษารองเท้ามาฝากกัน

1. เริ่มแรก ตอนไปซื้อรองเท้า โดยเฉพาะรองเท้าดีมียี่ห้อ ราคาสูง จะสังเกตว่าทางร้านมีที่ยึดรองเท้าใส่ไว้ หรือไม่ก็มีไม้หรือพลาสติกก้านยาวยึดรองเท้าให้ได้รูปทรง ถ้าเจอแบบนี้แล้วอย่าทิ้ง ให้เอากลับมาด้วย แต่ถ้าไม่มีให้ก็ลองถามพนักงานว่ามีขายไหม ลงทุนซื้อมาเองเลย เพื่อรองเท้าจะได้ทรงสวยไปอีกนาน

2. เวลาซื้อรองเท้า เขามักให้กล่องมาด้วย ก็ให้นำกลับมาด้วย เพราะมันจะช่วยเก็บรักษาไม่ให้ฝุ่นเกาะ แต่ถ้าไม่อยากถือให้พะรุงพะรัง ก็จะมีถุงผ้าสำหรับใส่รองเท้า ซึ่งพวกรองเท้ามียี่ห้อมักจะมีให้ในกล่องอยู่แล้ว

3. ตู้ใส่รองเท้า ควรเป็นตู้มิดชิดที่ป้องกันฝุ่นได้ ถ้าไม่เป็นตู้ปิดทึบ เป็นตู้แบบเปิดโล่งก็ได้ แต่ควรมีถุงผ้า ถุงพลาสติก หรือกล่องใส่ก่อนเพื่อกันฝุ่น ซึ่งตู้หรือที่วางรองเท้าควรอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น ถ้าใส่ในตู้ต้องมียากันชื้นไว้ด้วย

4. เมื่อกลับถึงบ้าน ไม่ควรเอารองเท้าเก็บใส่ตู้ในทันที ให้ทิ้งไว้ข้างนอกสักหนึ่งวันแล้วค่อยเก็บในตู้เพราะแต่ละวันที่ใส่รองเท้า อาจมีเหงื่อออกที่เท้าทำให้รองเท้ามีความชื้นต้องปล่อยให้แห้งก่อน แล้วจึงทำความสะอาดรองเท้าก่อนใส่ตู้

5. การดูแลรองเท้าจำพวกหนังมัน ให้ใช้ผ้านุ่มสะอาดเช็ดรองเท้าก่อน เป็นการทำความสะอาดในขั้นแรก จากนั้นจึงใช้ผ้าเนื้อนุ่มอีกผืนป้ายยาขัดรองเท้า ในลักษณะวนเป็นวงๆ ให้ทั่วรองเท้า แล้วใช้แปรงเนื้อนุ่มสำหรับขัดรองเท้า ค่อยๆ ขัดอย่างเบามือแต่รวดเร็ว จะทำให้รองเท้าเงาเหมือนใหม่ สุดท้ายให้ใช้ผ้าสะอาดนุ่มเช็ดเบาๆ อีกครั้ง หรืออาจจะใช้น้ำยาสำหรับเพิ่มความเงาป้ายและขัดเพิ่มให้หนังมีความมันและ ไม่ติดสิ่งสกปรกง่าย

6. รองเท้าหนังกลับ ให้ใช้แปรงขัดรองเท้าปัดเบาๆ ให้ฝุ่นออก แล้วใช้สเปรย์ลำหรับหนังกลับฉีดให้ทั่ว เพื่อหนังจะได้สวยตามเดิม และควรใช้สเปรย์ตามสีของหนังด้วย

7. ควรนำรองเท้าออกมาผึ่งแดดบ้าง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคหากรองเท้าเปียกน้ำมาให้นำไปตากแดดจนเกือบแห้ง แล้วใช้ที่ยึดรองเท้าใส่เข้าไป ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทจึงค่อยเอามาทำความสะอาด วิธีนี้จะช่วยให้รองเท้าไม่เสียทรง

ลองนำเคล็ดลับนี้ไปใช้กับรองเท้าคู่โปรดดู รับรองว่าจะมีรองเท้าคู่โปรดใส่ไปได้อีกนานและยังใหม่อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เหตุใดดาวหางจึงมีหาง

ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ เฟรด วิปเปิล นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้อธิบายว่า ดาวหางมีองค์ประกอบทางเคมีที่ต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะ ดาวหางประกอบด้วยน้ำและแก๊สปริมาณมหาศาล ซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งที่อุณหภูมิต่ำมากและปกคลุมด้วยฝุ่นละอองเหมือนก้อน หิมะที่สกปรก

เมื่อดาวหางโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ น้ำแข็งจะระเหยกลายเป็นไอ รอบ ๆ ดาวจะเกิดมีเมฆฝุ่นและแก๊ส เมื่อแสงของดวงอาทิตย์ส่องต้องฝุ่นละอองเหล่านี้ก็จะทำให้ดาวหางเรืองแสงนอก จากดวงอาทิตย์จะแผ่ความร้อนออกมาทำให้น้ำแข็งดาวหางระเหยกลายเป็นไอแล้ว ดวงอาทิตย์ยังสร้างลมอ่อน ๆ ที่เรียกว่า ลมสุริยะ (solar wind) แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง ลมสุริยะนี้จะพัดเมฆฝุ่นและแก๊สรอบดาวหางไปทางด้านหลังดาวจนเกิดดาวหาง และนี่คือสาเหตุว่า ทำไมดาวหางจึงมีหางสว่างที่ไม่เคยชี้เข้าหาดวงอาทิตย์เลย

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เจ็บแน่นอก ไม่ใช่แค่อาการเตือน



หัวใจของเราเป็นอวัยวะหนึ่งที่ทำงานหนักที่สุดตลอดชีวิต ดังนั้นหากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเหล่านี้เกิดการตีบ หรืออุดตัน หรือมีการหดตัวอย่างรุนแรงและเป็นเวลานาน ก็จะนำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณนั้นเสียหาย จากการขาดออกซิเจนและสารอาหาร เมื่อนานเข้าก็เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถคืนดีดังเดิมได้ กล้ามเนื้อหัวใจที่ตายจะหยุดทำงาน ผู้ป่วยอาจเกิดหัวใจวายและหากรุนแรงอาจเสียชีวิต

ดังนั้น โรคหัวใจจึงเป็นโรคที่จำเป็นต้องรับการรักษาอย่างรวดเร็วและทันท่วงที เมื่อผู้ป่วยรู้สึกว่า มีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บแปลบบริเวณหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ปวดกรามหรือใจสั่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เบาหวาน, ความดันเลือดสูง, ไขมันในเลือดสูง จึงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์สามารถรักษาโดยการเปิดหลอดเลือดหัวใจได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายน้อยที่สุด เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยเกิดอาการดังกล่าว จึงควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจให้ได้มากที่สุด

การรักษา

ในปัจจุบัน การเปิดหลอดเลือดหัวใจทำได้หลายวิธี ขึ้นกับระยะเวลาที่เป็น, ความพร้อมของสถานบริการ และความรุนแรงของผู้ป่วย โดยวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ ได้แก่

1. การให้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งสามารถให้การรักษาได้ทุกแห่ง ถ้าไม่มีข้อห้ามใช้ยา โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมาถึงแพทย์ ภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากเกิดอาการ และยังให้ผลดีบ้าง ถ้าได้รับยาภายใน 6 ชั่วโมง ปัจจุบันเรามียาละลายลิ่มเลือดตัวใหม่ ชื่อ “ Tenecteplase” ซึ่งเป็นยาละลายลิ่มเลือดที่ออกฤทธิ์เร็ว มีประสิทธิภาพในการเปิดหลอดเลือดได้ดี เมื่อเทียบกับยากลุ่มเดิม สามารถลัดเข้าหลอดเลือดดำทันทีไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทำให้ลดระยะเวลาที่เสียไประหว่างรอการรักษา

2. การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน ร่วมกับการฝังขดลวดค้ำยัน ซึ่งเป็นการรักษาที่ดีและได้ผลรวดเร็ว ซึ่งอาจทำได้เลยตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงหรือมีข้อจำกัดไม่สามารถให้ยาละลายลิ่ม เลือดได้ หรือในกรณีที่ให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่ แต่มีข้อจำกัดที่สถานให้บริการจะต้องพร้อม ทั้งห้องตรวจสวนหัวใจ ทีมแพทย์พยาบาล ที่มีความชำนาญ

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลิปบาล์ม ลิปกลอสเสี่ยงมะเร็ง

ลิปบาล์ม ลิปกลอสเสี่ยงมะเร็ง











ใครที่ใช้ลิปบาล์มหรือลิปกลอสเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่า อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน.... แพทย์โรคผิวหนังในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้ลิปบาล์มหรือลิปกลอสที่มีลักษณะมันวาว ว่า ผลิตภัณฑ์ เหล่านี้มีผลทำให้เกิดการดึงรังสีอัลตร้าไวโอเลตเข้าสู่ร่างกายมากกว่าเดิม จึงทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากกว่าปกติ

ทั้งนี้ พญ.คริสติน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัย เบย์เลอร์ ในเมืองดาลลาส กล่าวเตือนว่า สำ หรับลิปบาล์มหรือลิปกลอสที่มีความเมาวาวนั้น ไม่ได้ใช้ป้องกันการรับรังสีอันตรายจากแสงแดดเลยและที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยิ่งมีผลทำให้เกิดการดูดรังสีต่าง ๆ เข้าไปสู่ริมฝีปากมากขึ้นกว่าปกติอีกด้วย เรียกง่าย ๆ ว่า ลิปบาล์มหรือลิปกลอสชนิดมันวาวนั้นให้ผลในทางตรงกันข้างกับผลของครีมกันแดด ด้วย

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กรด หรือ ด่าง เลือกให้ถูก กินให้เป็น



ในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลได้ค้นพบว่า หากร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เราอาจล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคพยาธิติดเชื้อ เบาหวาน ฯลฯ

ปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายดูดซึม สามารถวัดได้ด้วยค่า pH ซึ่งมีระดับตั้งแต่ 0 ถึง 14 หากวัดได้ที่ค่า 0 หมายถึง เลือดมีความเป็นกรดสูง และไล่ไปจนถึงค่า pH ที่ 14 หมายถึง เลือดมีความเป็นด่างสูง ซึ่งระดับที่ร่างกายมีความสมดุลของกรดด่าง และออกซิเจนจะอยู่ที่ประมาณ 7.365 ค่อนไปทางความเป็นด่างเล็กน้อย และหากค่า pH สูง หรือต่ำจนเกินไป คุณจะรู้สึกไม่สบาย เหนื่อยล้า น้ำหนักขึ้น ท้องผูก และปวดเมื่อย

ผู้คนส่วนใหญ่ในแถบอเมริกาและยุโรป จะมีร่างกายที่มีความเป็นกรดมากกว่าด่าง เพราะอาหารที่บริโภคและการใช้ชีวิต จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนได้เพียงพอ ทำให้เราสามารถพบเห็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในกลุ่มประเทศแถบนี้

4 สาเหตุหลัก ที่ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดสูง ได้แก่ ความเครียด สารพิษ เชื้อโรค และอาหารที่เรารับประทาน

อาหารที่มีความเป็นกรด

อาหารโดยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของเรา โดยมากจะมีค่าเป็นกรด ซึ่งอาหารเหล่านี้จะทำให้เราป่วยและเหนื่อยง่าย และน่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารสุดโปรดของเราทั้งนั้น เช่น

• ฟาสต์ฟู้ด
• น้ำตาล
• ชา กาแฟ
• เนื้อสัตว์
• แป้ง
• ผลไม้รสหวาน
• เดลี่โปรดักส์
• ไขมัน
• ถั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์

อาหารที่มีความเป็นด่าง

อาหารที่มีความเป็นด่างสูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดให้คุณ การรับประทานอาหารที่มีค่าเป็นด่าง จะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ อาหารนั้นได้แก่

• ผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักใบเขียว
• สลัด ที่ได้มาจากผักจำพวกผักกาด ผักขม ขึ้นฉ่ายยักษ์ แตงกวา อะโวคาโด เป็นต้น
• เครื่องเทศ เช่น โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ขิง
• ผลไม้ จำพวก แตงโม อะโวคาโด แตงกวา มะพร้าวอ่อน
• Wheat Grass
• กล้าหรือยอดผักต่างๆ เช่น หัวแอลฟัลฟา ถั่ว บรอกโคลี

ส่วนน้ำดื่มที่ดีที่สุดก็จะเป็นน้ำเปล่าที่มีค่าความเป็นด่าง น้ำผัก และน้ำ Wheat Grass ถ้าร่างกายของเรามีค่าความเป็นกรด เราก็ควรที่จะรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีค่าความเป็นด่าง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบในร่างกาย

กล่าวโดยรวมคือ การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างนั้น จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นจากภายใน ทำให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยความสดใสและมั่นใจ

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553



การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โดย นายแพทย์อวย เกตุสิงห์
การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเราไม่ออกกำลังหรือออกกำลังไม่พอ ร่างกายก็ผิดปกติ หย่อนสมรรถภาพ บางครั้งถึงกับเป็นโรค ผู้ที่เป็นโรคเพราะเหตุดังนี้ หากได้ออกกำลังก็หายได้ ดังนั้น จึงเปรียบการออกกำลังว่าเป็นอาหารก็ได้ เป็นยาก็ได้
การออกกำลังในที่นี้ หมายความถึงการให้กล้ามเนื้อทำงานเพื่อประโยชน์ต่างๆ เช่น การประกอบอาชีพ การทำงานอดิเรก หรือแม้การเล่นสนุก อีกคำหนึ่งที่มีความหมายเกี่ยวข้องกันคือ "กีฬา" หมายความถึงการออกกำลังที่เป็นการเล่นอย่างมีระเบียบหรือกฎเกณฑ์ เช่น แบดมินตัน ฟุตบอล รวมทั้งไม้หึ่งหรือตี่จับด้วย การกระโดดโลดเต้นไปตามเรื่องไม่ควรจะเรียกว่ากีฬา เป็นแต่เพียงการเล่น โดยเหตุผลทำนองเดียวกับการตักน้ำรดต้นไม้ก็ไม่ใช่กีฬา แต่ถ้ามีการแข่งขันตักน้ำใส่ตุ่ม ก็นับว่าเป็นกีฬาได้ เพราะจะมีกฎเกณฑ์และกำหนดเวลา ปัจจุบันนี้นิยมใช้คำว่า "กีฬา" สำหรับการใช้กำลังกายเพื่อประโยชน์อื่นๆ นอกจากงานอาชีพหรืองานประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้สำหรับการออกกำลังกายเพื่อประโยชน์เกี่ยว กับการบริหาร กาย การเล่นสนุก และการแข่งขัน ชื่อของบทความนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้คำ "กีฬา" ตามความหมายในปัจจุบัน


ปฏิกิริยาและการปรับตัวของร่างกายต่อการออกกำลัง
การออกกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในร่างกาย เรียกว่า "ปฏิกิริยา" ซึ่งมีลักษณะและ ความรุนแรงต่างไปตามความหนักหน่วงของการออกกำลัง เมื่อเลิกออกกำลัง ปฏิกิริยาก็จะหายไป ถ้าออกกำลังซ้ำบ่อยๆ จะเกิด "การปรับตัว" ขึ้นในร่างกายทำให้สมรรถภาพเพิ่มขึ้นและปฏิกิริยามีความรุนแรงน้อยลง แม้จะออกกำลังหนักเท่าเดิม ตัวอย่างเช่น ในการวิ่งเหยาะ ผู้ที่วิ่งเป็นครั้งแรกอาจวิ่งได้เพียง ๕๐๐ เมตรก็เหนื่อย มีอาการหายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว ปวดเมื่อยขา ฯลฯ จนในที่สุดต้องหยุด อาการที่กล่าวนี้เป็นปฏิกิริยาซึ่งเกิดตั้งแต่เริ่มวิ่ง และเพิ่มความรุนแรงขึ้นไปตามปริมาณของการออกกำลัง จนทำต่อไปไม่ไหวถ้าออกกำลังเช่นที่กล่าวนี้บ่อยๆ โดยไม่ทิ้งระยะนานนักจะพบว่าการวิ่งระยะเท่าเดิม (๕๐๐ เมตร) ทำให้เหนื่อยน้อยลงตามลำดับ จนในที่สุดอาจวิ่งไกลออกไปถึง ๘๐๐หรือ ๙๐๐ เมตร นี้คือผลของการปรับตัว
ปฏิกิริยาต่อการออกกำลังกายเกิดขึ้นในหลาย ส่วนและมีลักษณะต่างๆ กัน จะกล่าวถึงเฉพาะที่สำคัญๆ
๑. กล้ามเนื้อ การออกกำลังทุกครั้งต้องอาศัยกล้ามเนื้อหดตัวดึงกระดูกซึ่งประกอบเป็นแขนขา และส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง อาจมีการเคลื่อนไหวของส่วนนั้นๆ เรียกว่า การออกกำลังแบบเคลื่อนไหว (isotonic)หรือไม่มีก็ได้เรียกว่า การออกกำลังแบบเกร็งกล้าม(isometric) การหดตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นโดยมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในกล้ามเนื้อนั้น เอง คือ สารชื่ออะดีโนซีนไทรฟอสเฟต (adenosine triphospate) สลายตัวเป็นอะดีโนซีนไดฟอสเฟต (adenosine diphosphate) หลังจากกล้ามเนื้อหดตัวแล้วมีการกลับสังเคราะห์อะดีโนซีนไทรฟอสเฟตขึ้น ใหม่ โดยขบวนการที่สลับซับ-ซ้อนซึ่งรวมการ "เผา" (ออกซิไดซ์) กลูโคส เพื่อให้เกิดพลังงานสำหรับการสังเคราะห์สารที่เกี่ยวข้อง กล้ามเนื้อมีกลูโคสสะสมไว้ในปริมาณจำกัด ดังนั้น หากหดตัวติดต่อไปเป็นเวลานาน ก็จำต้องได้รับมาเพิ่มเติม เลือดนำกลูโคสมาจากตับซึ่งมีไกลโคเจน เก็บไว้เพื่อแปรเป็น กลูโคสเมื่อมีความต้องการ เมื่อกล้ามเนื้อหดตัว หลอดเลือดภายในนั้นจะขยายให้เลือดไหลมากขึ้น นำกลูโคสและออกซิเจนมาส่งเพิ่มขึ้น และนำ คาร์บอนไดออกไซด์ และกรดต่างๆ ตลอดจนความร้อนที่เกิดขึ้นนำไปปล่อยที่ปอด ที่ไต และที่ผิวหนังตามลำดับ ที่กล่าวมานี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ
หากกล้ามเนื้อถูกใช้ให้ทำงานหนักบ่อยๆ ก็จะปรับตัวโดยเพิ่มขนาด (บางครั้งไม่เพิ่มจำนวนด้วย)ของเส้นใยในตัวมัน ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแรงมากขึ้น ดังที่ทราบกันโดยทั่วไป ถ้าหากในการออกกำลังครั้งหนึ่งๆ กล้ามเนื้อต้องทำงานซ้ำติดต่อไปเป็นเวลานาน ก็จะมีการปรับตัวในด้านความอดทนอีกด้วย
๒. หัวใจและหลอดเลือด เมื่อมีการออกกำลัง หัวใจจะได้รับการกระตุ้นทางระบบประสาทให้เต้นเร็วและแรงขึ้น สูบฉีดเลือดได้ปริมาณมากขึ้น หากต้องทำการเช่นนี้บ่อยๆ หัวใจก็จะปรับตัวโดยเพิ่มขนาดของเส้นใย (แบบเดียวกับกล้ามเนื้อแขนขา) ทำให้ผนังห้องหัวใจหนา มีแรงสูบฉีดและกำลังสำรองมากขึ้นขณะเดียวกันหลอดเลือดแดงซึ่งรับเลือดไปจาก หัวใจต้องรับเลือดในปริมาณเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่หัวใจเต้น เท่ากับถูกบังคับให้ออกกำลัง ทำให้มีความยืดหยุ่นดีและเกิดอาการแข็งกระด้างน้อยลง ทั้งสองประการนี้ทำให้เลือดไหลได้สะดวกและความดันเลือดไม่ขึ้นสูงมาก
๓. ปอดและการหายใจ ในการหายใจตามปกติ "ศูนย์หายใจ" ซึ่งอยู่ในส่วน "ท้ายสมอง " (medulla oblongata) สั่งการให้กล้ามเนื้อซี่โครงและกะบังลมหดตัว ทำให้ทรวงอกขยาย อากาศภายนอกดันผ่านจมูกหลอดลมคอ และหลอดลมปอดเข้าไปในถุงลม เป็นโอกาสให้ออกซิเจนในอากาศผ่านเข้าไปในเลือดในผนังของถุงลม ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดผ่านสวนทางมาสู่อากาศในถุงลม นั่นคือการหายใจเข้า เมื่ออากาศตันถุงลมพองถึงขนาด ศูนย์หายใจจะหยุดทำงาน กล้ามเนื้อซี่โครงและกะบังลมหย่อนตัวทรวงอกยุบ บีบอากาศออกมาจากถุงลมสู่ภายนอกนั้นคือการหายใจออก เมื่อออกกำลังศูนย์หายใจจะได้รับการกระตุ้นแรงกว่าปกติ การหายใจเข้าแรง เร็วหรือลึก หรือทั้งสองอย่างมากกว่าธรรมดา การหายใจออกก็เปลี่ยนตามไปด้วย ยิ่งออกกำลังหนักเท่าไร การหายใจก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งถึงขีดที่เรียกว่า "หายใจหอบ" ซึ่งแสดงถึงความเหนื่อย หากออกแรงหนักขึ้นๆ อาการหอบเพิ่มมากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ศูนย์หายใจทำการเพิ่มต่อไปไม่ไหว การออกกำลังก็ต้องหยุดลง
ถ้าหากมีการออกกำลังหนักเสมอๆ กล้ามเนื้อหายใจจะเพิ่มความแข็งแรงและอดทนขึ้น พร้อมกับศูนย์หายใจอดทนต่อ การกระตุ้นมากขึ้น ทั้งสองอย่างนี้ช่วยให้สามารถหายใจหอบได้มากและนานขึ้น ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวซึ่งช่วยให้สามารถทำการได้ด้วยความอดทนมาก ขึ้น
๔. ระบบประสาท การออกกำลังเกิดขึ้นเพราะสมองสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อกล้ามเนื้อทำงานไปเรื่อยๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประสาทและเคมีย้อนไป "กด" ศูนย์สั่งการในสมองมากขึ้นๆ โดยลำดับในที่สุดเมื่อออกกำลังกายเหนื่อยถึงขีดหนึ่ง (ซึ่งขึ้นอยู่กับความเคยชินต่อการออกกำลัง) ศูนย์สั่งการก็ถูกกดจนต้องหยุดทำงานคือ ถึงระยะ "เหนื่อยจนหมดแรง"(ซึ่งที่จริง "แรง" ยังมีแต่สมองไม่สั่งการ)
ถ้าออกกำลังเสมอๆ ศูนย์สั่งการจะปรับตัวโดยมีความอดทนต่อการกดมากขึ้น ทำให้สามารถทำงานได้นานออกไปกว่าเคย และการออกกำลังกายดำเนินไปด้วยความอดทนมากขึ้น
ในร่างกายยังมีระบบประสาทอีกระบบหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในบังคับของจิตใจ เรียกว่า ระบบประสาทเสรีซึ่งทำการโดยอิสระเพื่อช่วยเหลืออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในการปรับการงานให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และความต้องการของส่วนต่างๆ ในร่างกาย เช่น บังคับให้หัวใจเต้นเร็วหรือช้า ให้หลอดเลือดและหลอดลมภายในปอดขยายหรือบีบ ให้เหงื่อหลั่งมากหรือน้อยเป็นต้น การออกกำลังทุกครั้งเป็นการกระตุ้น และ"การฝึก" ประสาทเสรี เมื่อทำการออกกำลังบ่อยๆ ก็มีการกระตุ้นบ่อยๆ เร่งให้ระบบประสาทเสรีปรับตัวให้ทำงานได้ว่องไวและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
๕. ระบบและส่วนอื่นๆ การออกกำลังอย่างค่อนข้าง หนักและอย่างหนัก ย่อมทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างมากในร่างกาย นอกจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีที่ควรทราบอีกดังต่อไปนี้
๕.๑ กระดูกที่ถูกกล้ามเนื้อดึงจะมีผิวหนาและแข็งแรงขึ้น ในเด็ก กระดูกบางชิ้นจะยาวขึ้นด้วย ทำให้ร่างกายสูงใหญ่
๕.๒ เลือดจะมีสีเม็ดเลือด (เฮโมโกลบิน) และจำนวนเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ปริมาตรเลือดสำรองที่เก็บไว้ในม้ามและที่อื่นๆ จะมากขึ้น
๕.๓ ต่อมน้ำเลี้ยงภายในที่หลั่งฮอร์โมนบางอย่าง เช่น ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง (พิทูอิทารี) ถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้น ทำให้เกิดผลเสมือนฉีดฮอร์โมนนั้นๆ เข้าในร่างกาย
๕.๔ มีการสะสมสารเคมีบางอย่างไว้สำหรับใช้ระหว่างการออกกำลัง เช่น กลูโคส เก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ อะดีโนซีนไทรฟอสเฟต เก็บไว้ที่กล้ามเนื้อ วิตามินซี เก็บไว้ในต่อมหมวกไต เป็นต้น
๕.๕ ระบบควบคุมอุณหภูมิกายจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถกำจัดความร้อนที่เกิดจากการทำงานออกไปได้รวดเร็ว ร่างกายร้อนช้าลง ช่วยให้สามารถออกกำลังด้วยความอดทนมากขึ้น
[กลับหัวข้อหลัก]











การออกกำลังกายที่พอเหมาะ น้อยไป และมากไป
ถ้าเรากินอาหารน้อยไปเราก็หิว ถ้ากินมากไปก็ท้องอืด ต้องกินพอดีๆ จึงจะสบาย การออกกำลังก็เช่นเดียวกัน ถ้าทำน้อยไปก็ไม่ได้ผล ทำมากไปก็มีโทษ ต้องทำให้พอเหมาะจึงจะได้ประโยชน์ที่ต้องการดังนั้น จึงควรทราบว่าเมื่อไรออกกำลังพอแล้ว ต่อไปนี้ เป็นวิธีง่ายๆ สำหรับใช้กับตัวเองหรือแนะนำผู้อื่นในเวลาออกกำลัง
๑. อาการเมื่อย เหมาะสำหรับใช้กับกายบริหาร กำหนดดูว่าส่วนที่กำลังใช้อยู่นั้นเริ่มมีอาการเมื่อยเมื่อใด (ตัวอย่างเช่น เริ่มเมื่อยเมื่อ "ชกลม" ได้ ๑๐ ครั้ง) ลองทำต่อไปอีกประมาณ ๑ ใน ๔ หรือ ๑ ใน ๕ ของที่ทำแล้ว จึงหยุด สังเกตว่าอาการเมื่อยที่เกิดแต่ต้นนั้นจะคงอยู่ต่อไปอีกนานสักเท่าใด ถ้าหายไปในเวลาสองสามชั่วโมง แสดงว่าที่ทำแล้วยังไม่พอ ควรจะเพิ่มได้อีก ถ้าหายภายใน ๒๔ ชั่วโมง แสดงว่าพอเหมาะแล้ว ถ้ายังเมื่อยอยู่เกิน ๓๖ ชั่วโมง แสดงว่าที่ทำนั้นมากเกินควร ครั้งต่อไป ต้องลดลง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มออกกำลัง จะได้ทราบความสามารถของ ตัว เมื่อกำหนดได้แล้วก็ออกกำลังไปตามนั้น ภายในระยะหนึ่งจะสังเกตว่า เมื่อยน้อยลง หรือไม่เมื่อยเลยนี้แปลว่าร่างกายมีสมรรถภาพสูงขึ้นแล้ว ถ้าต้องการให้เพิ่มขึ้นอีกก็ต้องออกกำลังให้มากขึ้น โดยลองสังเกต เช่นในครั้งแรก ทำเป็นขั้นๆ ไปเช่นนี้จนได้ผลที่ต้องการ
ข้อพึงจำคือหากออกกำลังเป็นประจำจนสมรรถภาพสูงขึ้นแล้ว ถ้าเว้นว่างไปเสีย สมรรถภาพจะลดลง ภายในหนึ่งสัปดาห์สมรรถภาพที่สูงขึ้นจะกลับลดลงไปประมาณร้อยละ ๓๐ และหมดสิ้นไปภายในสามสัปดาห์ ข้อนี้จะต้องระลึกถึงเมื่อกลับเริ่มออกกำลังใหม่ จะออกมากหรือหนักเท่าที่เคยไม่ได้ แต่ต้องลดน้อยลงตามส่วน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นใหม่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันผลร้ายของการออกกำลังเกิน
เช่นที่เคยเกิดขึ้นกับนักกีฬาเก่งๆ ที่เว้นว่างกายฝึกซ้อมไปนาน เมื่อกลับมาเล่นใหม่ก็เล่นเต็มที่เหมือนเคยลืมนึกถึงความเสื่อมที่ได้เกิด ขึ้นในระหว่างที่ไม่ได้เล่นผลร้ายอาจมีตั้งแต่การบาดเจ็บน้อยหรือมากไปจนถึง กับอันตรายหนัก
๒. อาการเหนื่อย วิธีนี้เหมาะสำหรับการออกกำลังประเภทอดทน เช่น วิ่งเหยาะ (วิ่งช้าๆ เพื่อให้ได้ระยะทางมาก) สังเกตว่าวิ่งไปได้ระยะไกลหรือระยะเวลาประมาณเท่าใดจึงเริ่มมีอาการหอบ ปานกลางจะประมาณจากความรู้สึกว่าเหนื่อยค่อนข้างมากก็ได้หรือจะนับจำนวน ครั้งที่หายใจใน ๑ นาทีก็ได้ สำหรับวิธีหลังนี้ต้องนับไว้ก่อนว่าเวลาอยู่เฉยๆ หายใจนาทีละกี่ครั้ง
(หายใจเข้า ๑ ที หายใจออก ๑ ที นับเป็น ๑ ครั้ง)สมมติว่า ๒๐ ครั้ง เมื่อออกกำลังไปจนรู้สึกเหนื่อยค่อนข้างมากก็ลองนับดูใหม่ ถ้าการหายใจเพิ่มขึ้นไปเป็น ๒๖ หรือ ๒๘ ครั้งต่อนาที (คือเพิ่มร้อยละ ๓๐-๔๐) ก็ควรจะหยุดได้ ตัวเลขที่แสดงนี้เป็นเพียงตัวอย่างให้เข้าใจเท่านั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน ข้อสำคัญที่สุดคือความรู้สึกว่า "เหนื่อยค่อนข้างมากแล้ว"
โดยทำนองเดียวกับในข้อที่แล้ว หากออกกำลังซ้ำไปๆ อาการเหนื่อยจะเกิดช้าเข้าและจะสามารถออกกำลังได้นานหรือมากขึ้นกว่าเดิม เป็นผลของการปรับตัวและการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
๓. อัตราชีพจร ผู้ที่สนใจการออกกำลังอย่างจริงจังควรนับชีพจรของตนเอง อาจนับที่ข้อมือหรือที่คอก็ได้ วิธีแรกใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางกดปลายลงไปในร่องข้างเอ็นข้อมือทางด้านโคนนิ้วหัวแม่มือ (ของอีกมือหนึ่ง) ขยับจนรู้สึกการเต้นของหลอดเลือดเป็นจังหวะ ถือนาฬิกาที่มีเข็มวินาทีไว้ในมือที่ถูกคลำ (หรือสวมไว้ในมือที่ใช้คลำ) นับการเต้นของชีพจรตามไปขณะที่ตาดูนาฬิกา นับชั่ว ๑๐ วินาทีแล้วคูณด้วย ๖ เป็นอัตราใน ๑ นาทีก็ได้ (วิธีนี้ไม่แม่นทีเดียว แต่ดีพอสำหรับการกีฬา)
วิธีนับชีพจรที่คอ เหมาะสำหรับผู้ไม่ชำนาญเพราะหาหลอดเลือดได้ง่าย ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางค่อยๆ กดลงไปที่ข้างลูกกระเดือกจนรู้สึกการเต้นของหลอดเลือด (อย่ากดหนักเกินจำเป็น) นับแบบเดียวกับที่ข้อมือ
๔. ผลตามหลัง ผู้ที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อน หลังจากออกกำลังครั้งแรก อาจมีอาการปวดข้อดึงกล้ามเนื้อหรือปวดกล้ามเนื้อด้วยในวันเดียวกันนั้นหรือ วันรุ่งขึ้น และอาจเป็นอยู่ต่อไปอีกหนึ่งหรือสองวันเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าอาการยังอยู่เกินสองวันควรสงสัยว่าการออกกำลังที่ได้ทำนั้นอาจจะมาก เกินไปครั้งต่อไปควรทำให้น้อยลง
[กลับหัวข้อหลัก]




การออกกำลังน้อยไป
การออกกำลังน้อยไป หมายความว่าออกกำลังแล้วไม่ได้ผลที่ต้องการ เช่น ร่างกายไม่แข็งแรง หรือไม่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น การออกกำลังน้อยไปไม่ให้ผลร้าย เหมือนกับการออกกำลังมากไป เพียงแต่ทำให้ผิดหวังและเสียเวลา ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อออกกำลังน้อย ปฏิกิริยาของร่างกายก็มีน้อยหรือเบาหรืออ่อนไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการ ปรับตัว หากได้ออกกำลังไปแล้วหลายวัน ไม่รู้สึกหรือสังเกตไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงร่างกายดีขึ้นหรือ แข็งแรงขึ้น ควรสงสัยว่าออกกำลังไม่พอ ควรลองเพิ่มความหนักหรือความบ่อยของการออกกำลังขึ้น จนสังเกตได้ว่ามีผลดังที่ต้องการ
จากที่ได้บรรยายมานี้คงจะเข้าใจได้แล้วว่าผลดีของการออกกำลังนั้น เกิดจากการปรับตัวของร่างกายที่อวัยวะส่วนที่เกี่ยวข้องเช่น กล้ามเนื้อ หัวใจ และต่อมน้ำเลี้ยงภายใน เป็นต้น การปรับตัวบ่อยๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นๆ กลายเป็นการพัฒนาส่วนนั้นๆ ให้เพิ่มขนาดหรือความสามารถขึ้น มีกำลังสำรองมากขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อออกกำลังมากเกินไป ผลร้ายเพียงส่วนน้อยอาจเกิดจากการปรับตัวจนเกินขีด ส่วนใหญ่เกิดจากความบุบสลายหรืออันตรายต่ออวัยวะ เช่น กล้ามเนื้อ เอ็น พังผืดข้อกระดูก และเยื่อหุ้มข้อ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสาเหตุของอาการต่างๆ ที่กล่าวแล้วซึ่งมักไม่รุนแรงมาก แต่การปรับตัวจนเกินความสามารถหรือเกินกำลังสำรอง มักเป็นผลของการออกกำลังเกินสมควรอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่ออวัยวะที่เกี่ยวข้องมีสภาพไม่ค่อยปกติอยู่ก่อน แล้ว อวัยวะที่มีความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องนี้คือหัวใจ