วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า



วันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม เป็นระลึกถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 3 ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการทำนุบำรุงบ้านเมืองทั้งในด้านการศาสนา การศึกษาและอื่นๆอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง

ทางราชการถือเป็นวันสำคัญของชาติ เพื่อให้รัฐบาล และประชาชนชาวไทยได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อราษฎรและ แผ่นดินไทย พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาเจษฎาบดินทร์พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยแห่งการครองราชย์นั้น ทรงปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและพัฒนาให้ชาติไทย มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน รวมทั้งด้านการเมือง การทหาร ที่ทรงทำนุบำรุง และสามารถรักษาความเป็นชาติอธิปไตยไว้ได้

ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตล่วงเลยมา 43 ปี พระองค์ก็ยังได้โปรดพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ "เงินถุงแดง" ไว้เพื่อประโยชน์แก่แผ่นดิน และเงินจำนวนนี้สามารถใช้กอบกู้เอกราชในดินแดนบางส่วนและรักษาอำนาจอธิปไตย ไว้ได้จนทุกวันนี้ ประชาชนชาวไทยและรัฐบาลจึงพร้อมใจกันประดิษฐานพระราชานุสาวรีย์ ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ หน้าวัดราชนัดดาราม ในปี พ.ศ.2541 ทางราชการได้มีการถวายพระราชสมัญญาว่า "พระมหาเจษฎาราชเจ้า" และได้ไช้ชื่อวันงานใหม่ว่า "วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า"

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

แว่นตา ใส่ๆถอดๆ หรือ ใส่ตลอด ดีกว่า

แว่น, แว่นตา, สายตา, สายตาสั้น, สายตายาว
คนส่วนมากมักเชื่อกันว่า "ถ้าสายตาสั้นหรือยาวแล้วไม่ใส่แว่นจะทำให้สายตาเสียน้อยลง ซึ่งไม่เป็นความจริง"

สาย ตาจะสั้นหรือยาวมากขึ้นนั้นขึ้นกับชนิดของสายตาสั้นหรือยาว ถ้าสายตาสั้นเนื่องจากกรรมพันธุ์ คือ พ่อ แม่ พี่น้องส่วนใหญ่สายตาสั้น สายตาก็จะสั้นเร็วขึ้นและมากไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะสวมแว่นตาประจำหรือใ่ส่ ๆ ถอด ๆ ไม่สามารถป้องกันสายตาสั้นต่อไปได้

แต่ถ้าไม่ใช่สาเหตุจาก กรรมพันธุ์ สายตาสั้นนั้นจะคงที่หรือเพิ่มขึ้นช้ามาก จะสวมแว่นประจำหรือใส่ ๆ ถอด ๆ ก็ไม่ทำให้สายตาเลวลงหรือดีขึ้นแต่อย่างใด

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากการว่ายน้ำ

ว่ายน้ำ, เล่นน้ำ, กีฬา, สุขภาพ, ออกกำลังกาย, สดชื่น

ทราบหรือไม่ว่า กีฬาประเภทว่ายน้ำให้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...

- สุขภาพ
สิ่ง ที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อสุขภาพ จะเห็นได้ว่าคนที่ออกกำลังกายมักจะมีภาวะการเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่ำ และมักมีสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ดีซึ่งแพทย์มักจะแนะนำมาก เพราะจะไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บข้อกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ


- ความปลอดภัย
เพื่อ ความปลอดภัย การเล่นน้ำในแม่น้ำและในทะเล การพายเรือ การตกปลา หากว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับน้ำได้อย่างสบายใจ สาเหตุจากการจมน้ำจะลดน้อยลง หากว่ายน้ำเป็น


- ความสนุกสนาน
จะได้พบกับความสนุกสนานในการเล่นน้ำ และความตื่นตาตื่นใจ หากสามารถพบเห็นสิ่งต่าง ๆ และธรรมชาติของโลกใต้น้ำ


-รูปร่างดี
การว่ายน้ำทำให้รูปร่างมีสัดส่วนที่ดี กล้ามเนื้อแข็งแรง จะเห็นว่าหลาย ๆ คน นิยมการว่ายน้ำเพื่อให้รูปร่างดี


- ตลอดชีวิต
การว่ายน้ำเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ตลอดชีวิต และเป็นประโยชน์ต่อชีวิต


- ครอบครัว
เป็นศูนย์รวมทางครอบครัวที่จะมารวมกันในการว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ, ความสนุกสนานเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว


- การแข่งขันกีฬา
สามารถพัฒนาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำและเป็นกีฬาที่กำลังได้รับการนิยมเพิ่มมากขึ้นและมักมีการจัดการแข่งขันเสมอ


- พื้นฐานของกีฬา
เป็นพื้นฐานของกิจกรรมหรือกีฬาต่าง ๆ เช่น โปโลน้ำ กระโดดน้ำ ระบำใต้น้ำ เรือใบและกระดานโต้คลื่น เป็นต้น


- ไม่เป็นสิ่งขัดขวาง
การว่ายน้ำไม่เป็นอุปสรรคทั้งด้าน อายุ เพศ เชื้อชาติ และความสามารถจะเห็นว่ากีฬาคนพิการก็จัดให้มีการแข่งขันว่ายน้ำด้วยเช่นกัน


- สดชื่น
การว่ายน้ำสามารถลดความเครียดได้ ทำให้รู้สึกสดชื่น

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิธีที่ถูกต้องในการทาครีมกันแดดคือ

1. ทาให้ติดผิวที่สุด นั่นคือ ไม่ควรทาครีมบำรุงผิวก่อนทาครีมกันแดดนั่นเอง จะทำให้ค่ากันแดดลดลง

2. ทาให้มากพอ ปริมาณที่คนส่วนใหญ่ทาครีมกันแดดบนใบหน้า น้อยกว่าที่กำหนดถึง 2 เท่า แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ทา 2 ชั้น ชั้นแรก ปริมาณเท่าเม็ดไข่มุก ไม่ใช่เมล็ดถั่ว รอ 5 - 10 นาที แล้วทาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อทับในส่วนที่มันแหว่งๆไป แต่ครีมกันแดด ก็มักจะมัน หรือวอก คนส่วนใหญ่จึงไม่อยากทามากนั่นเองค่ะ

3. ทาแล้วต้องหลบแดดด้วยนะคะ ไม่ใช่ทาแล้วบอกว่า ชั้นทาครีมกันแดดแล้ว ไม่เป็นไร ออกไปท้าแดดเชียว ต้องใส่หมวก กางร่ม ใส่แว่นกันแดด และหลบแดดตามปกติค่ะ

4. ทาซ้ำระหว่างวันค่ะ ครีมกันแดดแบบกายภาพ จะทาซ้ำได้ยาก เพราะ มันขาว ต้องแต่งหน้าใหม่ เดี๋ยววันหลังจะมารีวิวนะคะ ว่าจอยใช้ตัวใหน ทาซ้ำระหว่างวัน

5. ถ้าเหงื่อออกมาก ก็น่าจะต้องใช้แบบกันน้ำ แต่แบบกันน้ำก็มักจะอุดตันรูขุมขน

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำไมเรียกอเมริกาว่า เมืองลุงแซม

ลุงแซม, อเมริกา, สหรัฐอเมริกา, ความรู้รอบตัว, Uncle Sam Wilson

บ่อยครั้งที่ได้ยินคนใช้คําว่า "ลุงแซม" แทนคําว่าสหรัฐอเมริกา เช่น เมืองลุงแซม มีใครเคยสงสัยไหมว่า "ลุงแซม" น่ะมีตัวตนจริงหรือเปล่า

ความ จริงแล้วเรื่องมันมีที่มาว่า ระหว่างการสงครามเมื่อปี 1812 นายแซมวล วิลสัน แห่งเมืองทรอย นิวยอร์ค เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้บรรจุเนื้อเค็มลงถังส่งไปให้ทหารแนว หน้า ซึ่งก่อนที่จะส่งไปนั้น วิลสัน จําเป็นจะต้องตรวจสอบให้เรียบร้อย ดังนั้น เพื่อแสดงว่าเขาได้ตรวจสอบเนื้อเค็มแล้ว วิลสันได้ประทับอักษร "U.S." ลงบนแผ่นเนื้อ เพื่อระบุว่ามันเป็นของรัฐบาล แต่เพื่อนบ้านของวิลสันผู้ชอบเรียกเขาว่า "ลุงแซม" กลับไปตีความหมายว่าเป็นชื่อย่อของ "Uncle Sam Wilson"

หลายปีผ่านไป หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งสร้างรูปการ์ตูนชื่อ "ลุงแซม" เป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลอเมริกัน และภาพนั้นก็แพร่หลายยิ่งขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยโชว์รูป "ลุงแซม" ไว้ในดาวและแถบของธงสหรัฐ การ์ตูน ลุงแซมที่ดังมากคือ รูปนิ้วชี้แล้วพูดว่า "ผมต้องการคุณเพื่อนกองทัพบกสหรัฐ" เรื่องก็เป็นเช่นนี้นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

กินอย่างไร ในหน้าร้อน



อากาศ ร้อนๆ อย่างนี้หลายคนมักมีอาการเบื่ออาหารและหาวิธีคลายร้อน ซึ่งวิธีที่นิยมใช้แก้ร้อนและกระหาย คือ การเลือกดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หรือไอศกรีมท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งเป็นการแก้กระหายเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่วิธีการที่จะช่วยให้ร่างกายเย็นลงจากสภาวะอากาศร้อนข้างนอกได้ ทางที่ดีควรอาบน้ำหรือกินอาหารประเภทที่ช่วยให้เหงื่อออกโดยตรงจะดีกว่า

คนจีนมักจะดื่มน้ำชาร้อน จะทำให้เหงื่อออก เป็นการระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีอีกวิธีหนึ่ง มาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำถามต่อไปว่า แล้วจะกินอาหารอย่างไรดีในหน้าร้อน เนื่องจากอากาศร้อนมีผลทำให้อารมณ์หงุดหงิดง่าย การเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยคลายร้อนและอารมณ์เย็นขึ้น จะช่วยให้รู้สึกดีในหน้าร้อนได้

อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม และไขมัน เป็นอาหารที่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและการนำไปใช้สูงกว่าข้าว ผัก และผลไม้ การที่ทางเดินอาหารทำงานหนัก จะเกิดความร้อนในร่างกาย อาหารพวกเนื้อและไขมันจึงเป็นอาหารที่ทำให้ร้อน ไม่ควรกินมากในหน้าร้อน

อาหารที่ไม่สร้างความร้อนเพิ่มขึ้น คือ ผักและผลไม้ที่ไม่มีแป้งมาก ดังนั้น จึงควรเน้นไปที่ผักและผลไม้เป็นหลักมากกว่าอาหารจำพวกแป้งและเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้พลังงานมากเกินความจำเป็นถ้ารับประทานมากเกิน และควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องอย่างน้อย 1 - 2 แก้ว หรือประมาณ 300 ซี.ซี. ก่อนออกจากบ้านในวันที่อากาศร้อนจัด

หากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตรหรือ 4 - 6 แก้วต่อชั่วโมง แม้ไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม หรือดื่มน้ำสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้ร้อนใน คลายร้อน เช่น ใบบัวบก ใบสะระแหน่ แตงโม ใบเตย ช่วยดับกระหายและคลายความร้อนในร่างกาย

เครื่องดื่มร้อนพวกชาสมุนไพรเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยคลายร้อนได้ เครื่องดื่มร้อนช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย โดยการระเหยของเหงื่อ สมุนไพรส่วนมากช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการแน่น จุก เสียด คนไทยมีเครื่องดื่มสมุนไพรดื่มกันมานานแล้ว

มาสมัยนี้นักโภชนาการพบสารอีกประเภทหนึ่งนอกเหนือจากสารอาหารในพืชผักต่างๆ เป็นสารที่ป้องกันโรค เรียกชื่อสารกลุ่มนี้ว่าฟังก์ชันฟู้ด หรืออาหารที่มีหน้าที่ป้องกันและรักษาโรคได้นอกเหนือจากสารอาหารปรกติ

เครื่องเทศสมุนไพร เป็นกลุ่มอาหารที่มีคุณประโยชน์ทั้งเป็นอาหารและเป็นยา สังเกตดูชาติที่อยู่แถบร้อนในโลกจะกินอาหารเผ็ด ความเผ็ด คือ ความร้อน กินเผ็ดทำให้มีเหงื่อ เมื่อเหงื่อระเหยจะเย็น คนไทย อินเดีย เม็กซิกัน สเปน อยู่ในประเทศที่มีอากาศร้อน กินอาหารเผ็ด อาหารที่ใส่เครื่องเทศต่างๆ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ผัดน้ำพริก แกงเลียง ทำให้เย็นลง

เมนูคลายร้อนที่แนะนำอีกหนึ่งอย่าง คือ มะระทรงเครื่อง เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย แก้ร้อนใน สมุนไพรแก้ร้อนในที่อยากแนะนำอื่นๆ ได้แก่ ฟักเขียว เป็นสมุนไพรจีน มีฤทธิ์เย็น คนจีนนิยมทำเป็นยาถอนพิษ ขับร้อนใน ผักกาดขาว ช่วยแก้ร้อนใน ป้องกันมะเร็ง

ปวยเล้ง เป็นยาเย็น ช่วยขับร้อน แก้กระหาย ถั่วเขียว มีฤทธิ์ขับร้อนใน แก้กระหาย ขับปัสสาวะ ดอกไม้จัน เป็นยาเย็น ขับร้อนใน และบำรุงเลือด ตรงข้ามกับอาหารประเภททอด ชุบแป้งทอด เนื้อย่าง กินแล้วจะแน่นท้อง อึดอัด ย่อยยาก รู้สึกร้อนมากขึ้น

อากาศร้อนต้องกินอาหารมื้อเล็กๆ กิน ทีละน้อยบ่อยๆ กินพวกยำต่างๆ แกงส้ม ต้มยำ ต้มโคล้ง ผักน้ำพริกกับข้าว ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวน้ำต้มยำ ของหวานมักเป็นผลไม้ลอยแก้วไม่มีกะทิ เช่น กระท้อนลอยแก้วแช่เย็น ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้ดี และลดอาการเจ็บคอ ขนมน้ำแข็งใส เช่น เฉาก๊วยน้ำเชื่อมใส่น้ำแข็งใสช่วยแก้กระหาย

ดื่มน้ำสมุนไพรไม่ใส่น้ำตาลหรือใส่แต่น้อย เช่น น้ำตะไคร้ ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะได้ดี น้ำกระเจี๊ยบ ช่วยรักษาอาการร้อนในภายในช่องปาก น้ำมะนาวผสมกับน้ำหวานใส่น้ำแข็งทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ขับเสมหะได้ บางคนไปเที่ยวทะเลจะได้กินน้ำมะพร้าว เพราะน้ำมะพร้าวสามารถลดอุณหภูมิในร่างกายได้ หากไม่ชอบน้ำสมุนไพรดื่มน้ำผลไม้คั้นไม่ต้องเติมเกลือหรือน้ำตาล

ที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นอาหารที่ผลิตในเมืองไทย นอกจากช่วยรักษาสุขภาพ ได้คุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังเป็นการอุดหนุนผลผลิตในบ้านเราอีกด้วย

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

3 ประโยชน์น่าประหลาดใจของเมล็ดกาแฟ

เมล็ดกาแฟ, กาแฟ, ประโยชน์, ประหลาด
เมล็ดกาแฟคั่วไม่เพียงแต่ให้กาแฟที่สดใหม่หอมอร่อย แต่ยังมีประโยชน์อื่นสำหรับคุณอีก

ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง

กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้า มือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลา หรือกลิ่นอาหารแรงๆ ชนิดอื่น เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วยคุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับกลิ่นเหม็นๆ ออกไป จากนั้น ก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด

ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถเอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดที่ราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ในห้องได้ด้วย

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

รากราคะ



ว่าน “รากราคะ” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ว่านดอกทอง” เป็นว่านโบราณที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์

นายณรงค์ ค้านอธรรม นักอนุรักษ์ว่านไทยโบราณ เจ้าของว่านรากราคะ เผยว่า

ว่านนี้อยู่ในวงศ์ซิงจิเบอร์เรซี เป็นพืชตระกูลเดียวกับขิง ลักษณะลำต้นใต้ดินเป็นเหง้ากลม แตกแง่งเป็นไหลเล็กยาว 5-10 นิ้ว เนื้อในหัวถ้าเป็นตัวผู้จะมีสีเหลือง ส่วนตัวเมียเนื้อสีขาว มีกลิ่นคาวจัดคล้ายกับอสุจิของคน พบมากทางภาคตะวันตกและภาคเหนือ แถบจังหวัดกาญจนบุรี ตาก ลำปาง ใบเป็นรูปหอกสีเขียวมีขนาดเล็ก เส้นกลางใบสีแดง ทั้งต้นสูงประมาณ 1 ฟุต ออกดอกในหน้าฝน คล้ายดอกกระเจียว แต่ไม่มีก้านดอกจะอยู่ติดกับพื้นดิน มีสีขาวอมเหลือง โดยแทงดอกขึ้นจากเหง้าหลักที่อยู่ใต้ดินก่อนการงอกของใบว่านดังกล่าวนี้ ตามตำราโบราณระบุว่ามีอำนาจทางเพศรุนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงเกิดรุนแรงมาก

ถ้าเอาหัว หรือใบ หรือต้นใส่โอ่งน้ำหรือบ่อน้ำ หากใครกินเข้าไปจะมีความรู้สึกทางเพศรุนแรงมาก โดย เฉพาะดอกเพียงได้กลิ่นผู้คนที่ได้กลิ่นทั้งหญิงและชายจะพากันมัวเมาในโลกีย์ รส ฉะนั้นจึงต้องเด็ดดอกออกเสีย นอกจากนี้ตามความเชื่อโบราณปลูกไว้ที่บ้าน ร้านค้า มีสรรพคุณทางเมตตามหานิยม ทำให้มีลูกค้าอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งว่านดังกล่าวใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว จึงนำออกมาแสดงให้ประชาชนได้ชมก่อนที่จะสูญพันธุ์ไป

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันน้ำของโลก World Day for Water



วันน้ำของโลก (World Day for Water หรือชื่อที่ไม่เป็นทางการคือ World Water Day) ตรงกับวันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี

แม้ว่าพื้นที่ 2 ใน 3 ของโลกจะเป็นน้ำ แต่ส่วนใหญ่เป็นน้ำเค็มที่พบได้ในทะเลและมหาสมุทร คิดเป็นร้อยละ 97.5 ส่วนอีกร้อยละ 2.5 เป็นน้ำจืด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็งบริเวณแอนตาร์กติกาและกรีนแลนด์ รวมไปถึงน้ำใต้ดินที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ด้วย แหล่งน้ำจืดที่นำมาดื่มกินและนำมาใช้ประโยชน์ จึงได้มาจากทะเลสาป อ่างเก็บน้ำ แม่น้ำ และสำธาร ซึ่งมีจำนวนเพียงร้อยละ 0.26 ของน้ำจืดที่มีอยู่ทั้งหมด และน้ำจืดในปริมาณดังกล่าว ยังมีส่วนหนึ่งที่อยู่ในสภาพปนเปื้อนและมีสารพิษ ต้องทำการบำบัดก่อนนำมาใช้อีกด้วย ในปัจจุบัน มีประชาชนเกือบ 1,400 ล้านคน ทั่วโลก ที่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับบริโภคและป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคอหิวาตกโรค ท้องร่วง ไข้รากสาดน้อย และโรคพยาธิต่างๆ เป็นต้น

โรคเหล่านี้มีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด รวมทั้งมีสาเหตุมาจากพาหะนำโรค เช่น ยุง ซึ่งเป็นผลให้ในแต่ละปีมีประชากรเสียชีวิตประมาณ 5.3 ล้านคน หากไม่มีการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างจริงจังแล้ว จะส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต จากการบริโภคน้ำที่ไม่าละอาดมีจำนวนมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้จะมีความพยายามแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างเร่งด่วน แต่จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณ 6 พันล้านคน ในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงน้ำขึ้นได้ในอนาคต

องค์การสหประชาชาติ ได้ตระหนักปัญหาดังกล่าว ดังนั้น ในปี ค.ศ.1992 จึงได้มีการกำหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันอนุรักษ์น้ำของโลก" (world day for water) โดยในแต่ละปีจะมีหน่วยงานในสังกัดองค์การสหประชาชาติรับผิดชอบในการจัดงาน

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

10 เรื่องง่ายๆ ในชีวิต



10 เรื่องง่ายๆ ในชีวิต เพื่อทำให้สุขภาพดีได้ไม่ยาก

1. สำรองผลไม้ไว้ในตู้เย็น ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะได้ไดเอตแล้ว การรับประทานผัก & ผลไม้ประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้า องค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่าการบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก เนื่องจากสารโพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของฟันผุ

3. ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50% เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้า คลายเคลียด การย่ำเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่มๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลย มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิง ที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย เราควรรับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็น

6. หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ สำหรับอาหารว่างยามบ่าย แทนที่จะทานคุ๊กกี้หรือเค้ก เปลี่ยนมาทานขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่น รับรองว่า จะช่วยให้คุณมีกำลังวังชา และยังไม่อ้วนอีกด้วย

7. สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลงๆ ลืมๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่า หรืออาหารเมนูปลา รวมทั้งเพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี 2 เช่น ไข่ ถั่วเหลือง นม นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดี ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวๆ ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง ลองเดินให้ไวขึ้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน ให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหารหลอดเลือด หัวใจให้แข็งแรง และยังให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดีๆ ให้ร่างกาย ไขมันไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพราะมีไขมันหลายชนิดที่เป็นมิตรกับร่างกายนะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผลต่อ การดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ เลือกทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมันโอเมก้า 3 จากปลา ไม่เพียงให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรง ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจด้วย

10. JUST DO NOTHING ลองหยุดภาระวุ่นๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชม. ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ให้เวลาอยู่คนเดียว ตามลำพัง จะช่วยให้คุณรู้สึกสงบ อาจจะฟังเพลงเงียบๆ หรืออาบน้ำอุ่นๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ชมดอกไม้ เป็นการเติมความรื่นรมย์ทางด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่น และมีความสุข และให้ห่างไกลจากโรครีบร้อน เร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

ลดรอยแผลเป็นที่เกิดจาก สิว

สิว, ลดรอยแผลเป็น, รอยแดง, รอยดำ, แผลเป็น, ผิวมัน

สาว ๆ หลายคน ที่มีปัญหาหน้ามัน นอกจากจะต้องระวังเรื่องของการเกิดสิวแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่สาวเจ้ามักเป็นกังวลอย่างที่สุดคือ ใบหน้าที่เป็นแผลเป็นจากการเกิดสิว ซึ่งนอกจากต้องโบ๊ะแป้งให้หนาขึ้นเป็น 2 ชั้นเพื่อปกปิดรอยผลเป็นแล้ว วันนี้ก็ยังมีวิธีที่จะช่วยลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวมาฝากด้วย
โดยการแก้ไขแผลเป็นจากสิวมีขั้นตอนตามความรุนแรงมากน้อยดังนี้

1. สำหรับรอยแผลเป็นที่มีการยุบตัวลงไป แล้วไม่มีการอักเสบหลงเหลือ การจะแก้แผลเป็นต้องพยายามกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณนั้นฟื้นตัวขึ้นมา คล้ายนักวิทยาศาสตร์ฟื้นฟูให้กล้ามเนื้อของคนที่เป็นอัมพฤกษ์ ให้กลับมาทำงานใหม่ หากจะเปรียบเทียบกับคนเล่นกล้ามก็ได้ เช่น นักวิ่งจะมีโคนขาใหญ่ นักกล้ามจะมีกล้ามใหญ่ไปทั่ว ก็เพราะจากการกระตุ้น แต่การกระตุ้นกล้ามเนื้อนั้นง่ายกว่ามาก เพราะเพียงแต่ยกน้ำหนักให้กล้ามเนื้ออักเสบเล็กน้อย (อาการปวดที่รู้สึกหลังจากออกกำลังกาย) การอักเสบก็จะมีขบวนการทางเคมีสร้างเนื้อเยื่อเอง ส่วนการกระตุ้นแผลเป็นมีวิธีเดียวที่จะไม่ทำให้ผิวเสียก็คือ การใช้แสงเลเซอร์ที่มีช่วงคลื่นเฉพาะ ผ่านผิวหนังชั้นบนลงไปกระตุ้นท่อเลือดและท่อน้ำเหลืองให้บวมแดงอย่างสม่ำ เสมอ หลังจากนั้นก็จะมีสารสำคัญในน้ำเหลือง ที่มีอยู่ใต้ผิวหนังออกมากระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อแบบเดียวกับการ กระตุ้นกล้ามเนื้อ ส่วนผลจะได้แค่ไหนนั้น สามารถจะตรวจสอบได้คร่าว ๆ คือก่อนการรักษาให้ใช้นิ้วกางบริเวณแผลเป็นรอยยุบดู หากตึงขึ้นแล้วแผลเหล่านั้นหายไปได้ แผลนั้นก็น่าจะได้รับผลการรักษาที่ดี ส่วนรอยที่ไม่หายไปจะสังเกตเห็นว่าเหมือนรอยแทะ ต้องใช้วิธีอื่น ๆ เสริมในการรักษามากกว่าการใช้เทคนิคการกระตุ้นเนื้อเยื่อดังกล่าว

2. หากแผลเป็นจากสิวนั้น ยังมีรอยแดงอยู่พร้อมกับรอยบุ๋ม แต่ไม่มีการอักเสบคล้ายหนองหรือของสกปรกอยู่ข้างล่าง อาจเสริมการรักษาแผลเป็นด้วยการกระตุ้น เลเซอร์ชนิดพิเศษ ที่กล่าวข้างต้นไปพร้อมกันจะได้ผลดีมากกว่า ข้อที่ 1

3. หากแผลเป็นจากสิวนั้น มีรอยแดงและเจ็บ แสดงถึงว่ามีการอักเสบและของสกปรก ยังไม่ถูกกำจัดอออกจากผิวหนัง แพทย์จะต้องหาวิธีเอาของสกปรกนั้นออก เทคนิคที่นิยมคือการใช้เลเซอร์ผ่าตัด ที่สามารถทำให้เกิดโพรงคล้ายโพรงขนเล็ก ๆ บนผิวหนัง แล้วใช้เครื่องมือค่อย ๆ รีดเอาของเสียออกทางโพรงนั้น คล้ายการผ่าตัดทั่ว ๆ ไปที่เอาของเสียออก ส่วนแผลที่เหลือก็จะหายในเร็ววัน และกลายเป็นแผลชนิดที่ 2 สามารถวางแผนในการดูแลรักษาแผลเป็นได้ง่ายขึ้น

4. หากหัวสิวมีการอักเสบเท่านั้นไม่มีการแตก การที่จะขยายโพรงขนด้วยแสงเลเซอร์ผ่าตัดชนิดเดียวกับชนิดที่ 3 แล้วเอาหัวสิวออกเลย ก็นับว่าเป็นความคิดที่ฉลาด ทำให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการเกิดแผลเป็นแบบที่ 3

สรุปการรักษาแผลเป็นของสิวจึงต้องมีขอบเขตโดยคร่าว ๆ ดังนี้

หาก ท่านกำลังมีรอยแผลเป็นชนิดใดก็ตาม จากข้อที่1 ถึง ข้อที่4 กรุณาทำความเข้าใจขั้นตอนการรักษาก่อน เพื่อว่าคุณจะได้มีผิวหนังที่สวยงาม ไม่มีแผลเป็นขรุขระ

ต่อไปก็เลิกกังวลได้แล้ว เพราะปัญหาสิวไม่ใช่เรื่องใหญ่ของคุณอีกต่อไป...

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

สูตรอาหารล้างพิษ



สูตรอาหารล้างพิษนี้ สามารถนำมาใช้กับการล้างพิษในขั้นตอนแรกของการล้างพิษต่างๆ ซึ่งนำมาจากหนังสือ "ล้างพิษ ฟื้นสุขภาพและพลังแห่งชีวิต" โดย เพเนโลป ซาช แปลโดย กานต์รวี ทองพูล ไปหาอ่านกันได้ตามร้านหนังสือทั่วไป ส่วนผสมบางอย่างสามารถปรับได้ และสามารถเลือกผลไม้ตามฤดูกาล และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารพิษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ


1. น้ำซุปผัก
  • หอมใหญ่ 2 หัว
  • ผักชีฝรั่ง 1 กำเล็กๆ
  • แครอท 3 หัว
  • กระเทียม 1 กลีบ (แล้วแต่ชอบ)
  • เซเลอรี่ 3 ก้าน

    วิธีทำ
    นำ ผักทั้งหมดใส่ลงในหม้อ เติมน้ำ 6-8 ถ้วย จนท่วมผัก ตั้งไฟจนเดือด จากนั้นหรี่เป็นไฟอ่อน ต้มต่ออีก 30 นาที เสร็จแล้วกรองเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มตลอดช่วงล้างพิษ ห้ามดื่มน้ำผลไม้คั้นสด 1 ชั่วโมงก่อนหรือหลังดื่มน้ำซุปผัก เพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่ ถ้าอยากหนักท้องไม่ต้องเอาเนื้อผักออกก็ได้ หรือกินเนื้อผักต้มแยกต่างหาก

2. ซุปด่างต้านอนุมูลอิสระ

  • แครอทหั่น 1 ถ้วย
  • บลอกคอรี่หั่น 1/2 ถ้วย
  • เซเลอรี่หั่น 1 ถ้วย
  • ดอกกะหล่ำหั่น 1/2 ถ้วย
  • ผักชีฝรั่งซอย 1/2 ถ้วย
  • ถั่วลันเตาสดหรือแช่แข็ง 1/2 ถ้วย
  • หอมใหญ่ 1/2 หัว
  • กระเทียม 2 กลีบ
  • ฟักทองหรือมันเทศหั่น 1/2 ถ้วย


    วิธีทำ
    นำ เครื่องปรุงทั้งหมดใส่ลงในหม้อ เติมน้ำให้ท่วม ตั้งไฟจนเดือด จากนั้นลดไฟอ่อนๆ ต้มต่ออีก 30-40 นาที เติมสมุนไพรเพอ่มรสชาติตามต้องการอย่างเช่น เบย์ลีฟ คูมิน หรือโรสแมรี่ ถ้าซุปจืดเกินไป ให้เติมน้ำสต็อกไก่ ช่วงหน้าหนาวอาจเติมเทอร์นิป หรือซูกินี กะหล่ำดาวเพิ่มลงไปก็ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ล้างพิษในตับ และลำไส้

3. ซุปเย็นผักโขมและต้นกระเทียม

  • ผักโขมล้างและสับหยาบ 1 กำ
  • มันฝรั่งขนาดกลางล้างและปอกเปลือก 3 หัว (แล้วแต่ชอบ)
  • ต้นกระเทียมกำเล็กตัดเป็นท่อน 1 กำ

    วิธีทำ
    นำ เครื่องปรุงทั้งหมดใส่ลงในหม้อ เติมน้ำให้ท่วม ตั้งไฟจนเดือดจากนั้นหรี่ไฟ ต้มต่อด้วยไฟอ่อนจนมันฝรั่งสุกดี ใช้ตะแกรงยีเนื้อซุปที่ข้นจนเนียนได้ที่ ซุปนี้เหมาะสำหรับระบบย่อยและดูดซึมอาหารเป็นพิเศษ

4. ซุปถั่วชิกพี ถั่งเลนทิล และถั่วเม็ดแห้ง

  • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
  • หอมหัวเล็กหั่น 2 หัว
  • กระเทียมสับละเอียด 2 กลีบ
  • ยี่หร่าบด 1 ช้อนชา
  • ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
  • ผงพริกปาปริก้าหวาน 1 ช้อนชา
  • ถั่วบัตเตอร์บีนล้างและผึ่งให้สะเด็ดน้ำ 1 กระป๋อง
  • ถั่วชิกพี ล้างและผึ่งให้สะเด็ดน้ำ 1 กระป๋อง (300 กรัม) (ถ้าใช้ถั่วเมล็ดแห้งให้แช่น้ำข้ามคืนและผึ่งให้สะเด็ดน้ำ)
  • ถั่วเลนทิลแดง 1/2 ถ้วย
  • น้ำซุปผัก 5 ถ้วย
  • น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย
  • ผักโขมล้างและหั่นหยาบๆ 1 กำ
  • ใบสะระแหน่สด 1/3 ถ้วย

    วิธีทำ
    นำ น้ำมันใส่กระทะใบใหญ่ ตั้งไฟอ่อนจนน้ำมันร้อนเติมหอมเล็ก กระเทียม และเครื่องเทศ ผัดพอหอม ใส่ถั่วชิกพี ถั่วบัตเตอร์บีน ถั่วเลนทิล เติมน้ำสต็อกและน้ำมะนาว ปิดฝาและตั้งไฟอ่อนประมาณ 20 นาที จนถั่วเริ่มสุกนิ่ม เติมผักโขม ต้มต่ออีก 5 นาที โรยใบสะระแหน่พร้องเสริฟ ซุปนี้เหมาะสำหรับคนที่ทำโปรแกรมล้างพิษทุกประเภทและขณะทานอาหารปรับสภาพ

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

นอนไม่หลับ

จากผลการศึกษาพบว่า ประชากรวัยผู้ใหญ่กว่าร้อยละ 30 ไม่ได้รับการพักผ่อนนอนหลับอย่างมีคุณภาพและพอเพียง ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจในแต่ละวันได้อย่างมีคุณภาพ (ซึ่งแพทย์ใช้เป็นเครื่องมือชี้วัดอาการของโรคนอนไม่หลับ)

วิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสบาย

- ทองแดง (2 มก.) ผลการศึกษาจาก USDA พบว่าปริมาณทองแดงสัมพันธ์กับการนอนไม่หลับในสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ควบคุมน้ำหนักจนร่างกายได้รับปริมาณทองแดงน้อยกว่า 1 ไมโครกรัมต่อวันเป็นเวลานาน จะมีปัญหาด้านการนอน ตื่นนอนตอนเช้าด้วยความรู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ มากกว่าผู้หญิงควบคุมน้ำหนักที่ได้รับทองแดงวันละ 2 ไมโครกรัม

- แมกนีเซียม (400 มก.) ผลการวิจัยบางชิ้นพบว่า การที่มีระดับแมกนีเซียมต่ำกว่า (ต่ำกว่า 200 มก.ต่อวัน) ส่งผลให้นอนหลับไม่สนิท และตื่นบ่อยๆ กลางดึก

ข้อควรระวัง :

- หากมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานแมกนีเซียม

- ปริมาณแมกนีเซียมที่มากกว่าวันละ 350 มก. จะทำให้ท้องร่วงได้

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

เดินอย่างเดียวแก้ได้ 7 โรค

เดิน, ออกกำลังกาย, ร่างกาย, สุขภาพ, โรคภัยไข้เจ็บ

สิ่งดีๆจากการออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เพราะไม่มีเวลา

ก็ให้ลองหาโอกาสเดินบ่อยๆ หรือวิ่งเหยาะๆ ดู เพราะจากการศึกษาของคณะแพทย์ของสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นพบว่า

การเดินช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคร้ายได้ถึง 7 ชนิด ได้แก่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันผิดปกติ อัมพาต มะเร็ง เป็นต้น

ส่วนการวิ่งเหยาะๆ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรง ลดความเครียด และป้องกันโรคกระดูกพรุน เห็นข้อดีแบบนี้แล้ว เรามาเริ่มเดินๆ วิ่งๆ กันเสียแต่วันนี้จะดีกว่านเดินวันละนิด เพื่อชีวิตไร้โรคภัย ด้วยความห่วงใย

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

การรับประทานไข่



ไข่เป็นอาหารดีมีประโยชน์ที่หาง่ายที่สุด เก็บง่ายที่สุด ปรุงง่ายที่สุด ราคาไม่แพงซึ่งทุกๆ คนก็สามารถ หากินได้แถมย่อยง่าย อุดมด้วยโปรตีน วิตามินเอ บี ดี และธาตุเหล็ก รวมทั้งแคลเซียม กินได้ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ ทำได้ทั้งคาวและหวาน

คนจีนถือว่าไข่เป็นของนำโชค ที่ต้องมีการต้มแจกเมื่อได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว เพราะไข่เป็นทั้งหยิน และหยางในลูกเดียว มีทั้งด้านมืด ด้านสว่าง ทั้งเย็นและร้อน

ฝรั่งบอกว่าไข่เป็นอาหารที่ให้โปรตีนอย่างยอดเยี่ยมภายในลูกเดียว กันนี่แหละ

ทางอายุรเวทบอกว่า ไข่เป็นอาหารไม่หนักไปสำหรับร่างกาย และให้ไขมันที่ดี

ไข่จึงเป็นอาหารจานเด่นมาตลอด จนระยะหลังๆ นี้ที่เราเริ่มจะได้ยินอะไรที่ทำให้ชักไม่ค่อยไว้ใจไข่ พวก ที่ชอบค้นคว้าวิจัยก็แยกเอาไข่แดงไข่ขาวไปวิจัยว่า ไข่ขาวนั้นเป็นตัวให้โปรตีนดีมาก แต่ไข่แดงมี ไขมันสูง กินไปแล้วจะทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงได้ อาจเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ต้องเดือดร้อนหาหมอ

คราวนี้พวกบ้าจี้ หรือกลัวตายทั้งหลาย ก็เลยตั้งหน้ากินไข่แบบไม่ เป็นธรรมชาติกัน คือมีการบรรจงเอา ช้อนแคะไข่แดงออกจากไข่ดาว แล้วกินไข่ขาวล้วนๆ หรือปอกไข่ต้มแล้วละเลียดกินไข่ขาว ทิ้งไข่แดงไปเสีย บางคนหนักเข้าก็เอาแต่ไข่ขาวแยกออกมาตีๆๆ แล้วทำไข่เจียวหน้าตาซีดเซียวกิน แต่พวกนี้เวลากินขนมเค้ก ก็มักจะลืมว่าเขาต้องใส่ไข่ทั้งแดงและขาวเข้าไปมากๆ แถมด้วยนมเนยที่เป็นตัวเพิ่มไขมันยิ่งกว่า

การกินไข่มีอันตรายต่อระดับไขมันในเลือดจริงหรือ?

อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจไปเลย เวลาได้ข่าวสารอะไรมาให้พิจารณาดูดีๆ และดูหลายๆ มุมมอง ตัวดิฉัน เองมีความเชื่อมั่นในธรรมชาติ และคิดว่าธรรมชาติรู้ดีกว่าเราในการสร้างไข่ให้มีทั้งขาวและแดง ให้มีทั้ง ไขมันและโปรตีนอยู่ในลูกเดียวกัน และขนาดก็เล็กนิดเดียว เป็นที่คาดการได้ว่าธรรมชาติย่อมอยากให้เรากิน หมดไปในคราวเดียวกัน พร้อมๆ กันทั้งลูก ให้มันผสมเข้าด้วยกัน (ตามหลักการกินแบบ Whole Food) มิฉะนั้นไข่ขาวคงไม่มีสรรพคุณกินแล้วเย็น ขณะที่ไข่แดงกินแล้วเพิ่มความร้อนให้ร่างกาย

คุณเชื่อเรื่องการกินอาหารแบบทั้งชิ้นทั้งอัน (Whole Food) ตามธรรมชาติหรือไม่ อย่างเมล็ดข้าว 1 เมล็ดนี้ ธรรมชาติให้ส่วนประกอบมาทั้งแป้ง ทั้งวิตามิน ใช่ว่าเราจะเลือกเอาเฉพาะส่วนที่เป็นหัวแยกออกมา กินเป็น 'รำ' แต่อย่างเดียวแล้วจะดีกว่ากินข้าวทั้งเม็ดเมื่อไร ถ้าคุณรู้จักการกินที่ควรกินหลากหลาย กินพอประ มาณ กินหมุนเวียนเปลี่ยนไป คุณก็ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลเอากับงานวิจัยนี้เลย

เคยเห็นไหมว่าบางคนตั้งแต่เล็กจนแก่ อาหารโปรดคือไข่ ตั้งหน้ากิน อยู่ได้ทุกวันเสียด้วย เพราะง่ายที่สุด ขี้เกียจคิดว่าจะกินอะไรดี แถม ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายไม่เคยมีปัญหา

ดังนั้นการที่ระดับไขมันในเลือดของคนเราจะ ขึ้นสูงให้น่าตกใจได้นั้น อย่าไปโทษไข่แต่เพียงอย่างเดียว ระดับไขมันที่ว่านี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคน และเรื่องอื่นๆ ประกอบกันด้วยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเคมีในร่างกาย การใช้ชีวิต และพฤติกรรมการกินอื่นๆ



สิ่งที่ควรกลัวในการกินไข่

เวลาเราซื้อไข่นั้น เราไม่สามารถมองทะลุ เข้าไปข้างในได้ว่าไข่นี้เก่าหรือใหม่? เก็บมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน หรือเพิ่งมาจากฟาร์มเมื่อวานนี้เอง เราไม่ สามารถมองเบื้องหลังการ เลี้ยงไก่ เพื่อให้ได้มาซึ่งไข่นี้ว่า เขาตั้งหน้าตั้งตาทารุณกรรมแก่สัตว์ น้อยๆ น่ารัก นี้ด้วยการ โด๊ป ให้มันตื่นทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน ด้วยการให้มดลูกมันทำงานตลอดเวลามีหน้าที่ไข่ ไข่ และไข่ ด้วยการใส่ยาเร่ง ยาคุม ยาขจัด สารพัดเคมีให้คนเลี้ยงได้ผลผลิตที่มากที่สุด เร็วที่สุด

บางคนอาจจะเห็นว่ามันเป็นปกติของการผลิตอาหารให้ชาวโลกกินนี่นา แต่ที่มันอันตรายมาถึงเราก็คือ สารเคมีต่างๆ ที่มันตกค้างอยู่ในไข่นี่แหละ เราผู้กินก็รับเอาไปเต็มๆ กินไปมากๆ ก็แน่นอนว่าต้องไปสะสม คงค้างอยู่ในร่างกายของเรานี่ ไก่ที่เลี้ยงกันตามฟาร์มแบบนี้ฝรั่งเขามีภาษาเรียกว่าเป็น Battery Chicken คงเหมือนกับไก่ที่ใส่ถ่านให้มันกินๆๆๆ ให้มันไข่ๆๆๆ ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงเสีย

ส่วนไข่จากฟาร์มที่เรียกว่าไก่แบบ Free Range หรือเลี้ยงแบบให้ไก่มีอิสระในการวิ่งเล่น ไม่มีการให้ ยาปฏิชีวนะ และให้อาหารไก่ที่เป็นอาหารธรรมชาติ ไม่ได้ทำมาจากเคมี เลี้ยงอย่างนี้ก็เหมือนวิธีที่ ชาวบ้าน สมัยก่อนเลี้ยงไก่ไว้ให้ไข่ เอามากินมาขายนั่นแหละ ไก่และไข่ ที่ได้จากการเลี้ยงแบบนี้ถือว่าเป็นอาหารธรรม ชาติที่กินแล้วดี ไม่มีเคมี ปนเปื้อนอยู่

แล้วเราจะหาไข่ดีๆ กินได้ไหมเล่านี่ ? เรื่องอย่างนี้ก็ต้องตัวใครตัวมันก็แล้วกัน รู้เอาไว้เป็นความรู้ แล้วก็เสาะหาของดีในวิธีของเราเอง



ควรล้างไข่ก่อนใช้หรือไม่

อย่างที่บอกว่าเปลือกไข่นั้นมีรูพรุนสามารถรับเอาความสกปรกไว้ได้ เมื่อซื้อไข่มาแล้วควรล้างให้สะอาด ก่อน แล้วผึ่งให้แห้งก่อนเก็บ

ตอนล้างนี่แหละที่เราจะรู้ว่าไข่นั้นใหม่หรือเก่า ถ้าไข่จมน้ำก็แปลว่าใหม่ ถ้าลอยเท้งเต้งขึ้นมาแปลว่าไข่เก่า ไม่สมควรกิน ล้าง ผึ่งแห้งแล้วควรเก็บในที่เย็นเพื่อเก็บได้นานขึ้น และไม่ควรเก็บรวมกับอาหารอื่นที่มีกลิ่น เพราะไข่ สามารถดูดซับเอากลิ่นเข้าไว้ได้ อย่างดี ถ้าจะให้ดีควรเก็บในกล่องใส่ไข่โดยเฉพาะที่มีฝาปิดมิดชิด และ ไม่ควรเก็บนานเกิน 2 อาทิตย์

เวลาจะใช้ไข่ ควรตอกไข่ใส่ถ้วยก่อนเอาไปใช้ ให้เห็นก่อนว่าไข่นั้นดี หรือเสีย เพราะอาจจะพบไข่เน่าแล้ว ก็เป็นไปได้ หรือยังไม่เน่าแต่มี สีสันและกลิ่นไม่น่าวางใจ ไข่ที่สดใหม่นั้นให้สังเกตดูไข่แดงว่าจะกลมนูน ไม่แบน


วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ดื่มน้ำมาก-เร็ว มีโทษอย่างไร

การดื่มน้ำ มาก-เร็ว ส่งผลเสียอย่างไร รศ.ดร.ประไพ ศรี ศิริจักรวาล สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แม้ร่างกายมนุษย์จะมีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำ แต่หากร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากในเวลารวดเร็ว จะทำให้เกิดภาวะ "น้ำเกิน" หรือ "น้ำเป็นพิษ" ซึ่งตรงข้ามกับภาวะ "แห้งน้ำ" หรือร่างกาย "ขาดน้ำ" ที่เป็นภาวะโพแทสเซียมออกจากเซลล์ และพบบ่อยในผู้สูงอายุที่ไม่ดื่มน้ำ

"น้ำเป็นพิษ" เกิด จากน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ขาดความสมดุล ส่งผลให้น้ำในเลือดสูง ความเข้มข้นของเลือดลดลงทำให้ร่างกายต้องปรับระบบให้สมดุล โดยขับแร่ธาตุโพแทสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับความสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และ นอกเซลล์

จะ รู้ได้อย่างไรว่าน้ำเป็นพิษ วิธีสังเกตง่ายๆ ว่า อาการเตือนเมื่อเกิดภาวะแร่ธาตุโพแทสเซียมไม่สมดุล คือ เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง อ่อนหมดแรง ถ้าเกิดการเกร็งในสมอง ปอด หัวใจ ทำให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

ปริมาณ น้ำมากๆ ที่ร่างกายรับเข้าไปจนเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ บอกชัดเจนไม่ได้ ถ้าคนดื่มน้ำเองสมองจะบอกว่า อิ่มแล้ว เริ่มจุก แต่การบังคับให้ดื่มน้ำ ถ้าเริ่มอ่อนเพลีย เกร็ง ถ้าหยุดรับน้ำเพิ่ม ร่างกายจะขับน้ำออก การดื่มมากๆ แต่ช้าๆ ไม่เป็นอันตราย ไตขับน้ำออกทางปัสสาวะได้ ถ้าโหมใส่เข้าไปมากๆ เกินร้อยละ 10 ของปริมาณที่ร่างกายได้รับปกติ มีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้

ร่างกายประกอบด้วยน้ำร้อยละ 70 ถือว่าน้ำเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับร่างกายร่วมกับอาหารทั้ง 5 หมู่ ปกติร่างกายควรได้รับน้ำสะอาดวันละ 1,200 ซีซี หรือ 8-10 แก้ว หากดื่มน้ำน้อยกว่านี้ อาจเกิดภาวะสูญเสียน้ำถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น ร่างกายต้องได้รับน้ำอย่างเหมาะสม โดยน้ำต้มสุกมีความสะอาดที่สุด ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวด ควรเลือกที่มีตรารับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

การเลือกซื้อกางเกงยีนส์

เป็นแฟชั่นที่ไม่เคยจะตกยุคเลย สำหรับ กางเกงยีนส์ ใครที่ชอบใส่กางเกงยีนส์ มาดูวิธีการเลือกแบบง่ายๆ กันค่ะ

กางเกงยีนส์

1. เช็คดูทั่ว ๆ ไปก่อน ดูผ้าว่านิ่มใส่สบายหรือเปล่า ตะเข็บขากางเกงควรเย็บตรงและแน่นหนา

2. ขอบเอว เย็บแน่นพอจะรองรับเข็มขัดได้หรือไม่ กระเป๋า กระดุมหรือซิป ควรเย็บแน่นเช่นกัน

3. เมื่อซื้อแล้วให้สังเกตเวลาซัก ถ้าซักประมาณ 2-3 ครั้ง มีด้ายตะเข็บรุ่ย อย่าซื้อมาใส่อีก

4. รอยผ่าที่ติดซิปหรือกระดุม ควรจะเย็บแน่นหนาและตรงทั้งสองชั้น

5. หัวซิป ล็อคได้หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นกระดุม ควรเช็ครังดุมว่าใส่พอดีกันไหม

6. กางเกงยีนส์ที่ปักลวดลาย เช็คที่กระเป๋าและขากางเกงว่าปักเรียบร้อยไหม

ถ้าจะซื้อกางเกงยีนส์ครั้งต่อไป ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปเลือกซื้อดูได้.

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

โรคเกล็ดเลือดต่ำที่เกิดจากภูมิคุ้มกันต่อต้านเกล็ดเลือดของตนเอง

โรคนี้แพทย์เรียกันย่อ ๆ ว่า I T P (Immune thrombo cytopenia) อาการของโรคนี้ก็คือ เลือดออกไม่หยุดหรือหยุดยาก ถ้าหากเกิดบาดแผลหรือเมื่อมีเลือดกำเดาไหล ผู้ป่วยโรคนี้จะมีจ้ำเขียวตามเนื้อตัวได้ง่าย หรือมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ขึ้น ตามแขนขา และลำตัว สาเหตุที่มีอาการดังนี้ก็เพราะว่า ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่มีเกล็ดเลือดต่ำหรือมีปริมาณของ เกล็ดเลือดน้อย และการที่มีเกล็ดเลือดน้อยนี้มิใช่ว่าเกิดจากไขกระดูกผลิคเกล็ดเลือด ออกมาน้อย แต่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไม่ปกติ ในทางการแพทย์อธิบายว่า ร่างกายของผู้ป่วยจะผลิตภูมิต้านทานต่อเกล็ดเลือดของตนเอง ทำให้เหมือนว่าเกล็ดเลือด เป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายต้องกำจัดทิ้ง เกล็ดเลือดจึงถูกส่งไปทำลาย โดยม้ามของผู้ป่วย ดังนั้นไม่ว่าไขกระดูกจะผลิตเกล็ดเลือดมามากเพียงใด หรือแม้จะได้รับเกล็ดเลือดจากผู้อื่น ม้ามของผู้ป่วยเองก็ทำลายหมด

วิธีการรักษามีหลายประการ บางรายโดยเฉพาะในเด็ก เกล็ดเลือดไม่ต่ำมาก ไม่มีเลือดออก อาจจะหายได้เอง คือเกล็ดเลือดขึ้นเองในเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่บางรายรอไม่ไหว เพราะ เกล็ดเลือดต่ำมาก และมีเลือดออกไม่ยอมหยุด หรือผู้ป่วยเด็กที่ซนมากชอบเล่นหกล้ม ก็ต้องรักษาให้เกล็ดเลือดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาประเภท Steroid ได้ผลดีพอใช้ เพราะทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอลง จึงต่อต้านเกล็ดเลือดของตัวเองน้อยลง แต่ก็ทำให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรค ได้น้อยลงด้วย จึงเป็นยาอันตราย นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียง หลายประการ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แพทย์ก็ไม่อยากสั่งให้ทาน วิธีรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีมาก คือ การตัดม้าม เพราะเราทราบว่าม้ามเป็นตัวการในการทำลายเกล็ดเลือด เมื่อตัดม้ามออกทิ้งเสีย เกล็ดเลือดก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหามีอยู่ว่า แต่ละคนมีม้ามอันเดียว ตัดออกแล้วก็หมดกัน ปกติม้ามมีหน้าที่ช่วยจัดการเม็ดเลือด ที่ไม่สมบูรณ์ และป้องกันเชื้อโรคบางอย่าง

ผู้ป่วยที่ตัดม้ามอาจจะติดเชื้อโรคบางอย่างที่ทำให้เกิดโรคปอดบวมได้ง่าย จึงต้องดูแลตนเอง ใกล้ชิด ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยจะกังวลเรื่องการผ่าตัด อย่างไรก็ตามในทศวรรษที่ผ่านมา นับเป็นโชคดีของผู้ป่วยโรค I T P เพราะ ได้มีการค้นพบว่า IVIG สามารถใช้รักษาโรค I T P ได้ผลดีมาก คือ ทำให้เกล็ดเลือดกลับสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ดีพอ ๆ กับ การตัดม้ามเลยทีเดียว ถึงกับกล่าวกันว่าการใช้ IVIG เป็น การตัดม้ามโดยไม่ต้องผ่าตัด (medical splenectomy) บางคนก็กล่าวว่าการใช้ IVIG นั้นเป็นเหมือนการตัดม้ามชั่วคราว ที่เป็นเช่นนี้เพราะ IVIG ประกอบไปด้วยภูมิต้านทานใหม่ ๆ (antibodies) จำนวนมาก นับได้ว่าการรักษาโรคนี้โดยให้ IVIG เป็นการรักษาที่น่าพิจารณาก่อนการวิธีอื่น

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

คอนแทคเลนส์ชนิดต่างๆ

คอนแทคเลนส์นั้นเป็น Optical disc ที่บางมากและมีขนาดใหญ่ประมาณเหรียญ 50 สตางค์ ถึงแม้ว่าเลนส์แบบแข็ง(standard hard lens) ที่เริ่มจำหน่ายมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 จะยังมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน แต่การพัฒนาวัสดุ ตลอดจนเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้เลนส์แบบนี้ค่อยๆ เสื่อมความนิยมไปเองโดยปริยาย ปัจจุบันมีผู้ใช้เลนส์แบบนี้อยู่น้อยกว่า 0.5% ของจำนวนผู้ใช้เลนส์ทั้งหมด เลนส์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี 2 แบบหลักๆ และรวมถึงเลนส์แบบพิเศษ

1. เลนส์แบบนิ่ม(Soft lens) : เริ่มใช้มาประมาณ 20 ปีแล้ว ทำจากพลาสติกที่สามารถดูดซับน้ำได้และมีความหยุ่นตัวสูง โดยปกติจะดูดซับน้ำได้ 30-80% เลนส์แบบนิ่มนี้มีทั้งแบบที่ใช้เพียงวันเดียวแล้วทิ้งหรือใช้หนึ่งหรือ 2 อาทิตย์ก่อนทิ้งก็ได้ หรือไม่ก็ใช้แบบทั่วไปที่มีอายุการใช้งานนานเป็นปี

2. เลนส์แบบแข็งแต่ยอมให้ก๊าซผ่านได้(Rigid gas permeable: RGP) : ทำจากพลาสติกพิเศษที่คงรูปดีกว่า แต่ยังคงยอมให้ก๊าซออกซิเจนและก๊าซอื่นซึมผ่านได้ เลนส์พวกนี้ใช้ง่ายและมักจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเลนส์แบบนิ่ม นอกจากนี้ยังให้ภาพที่คมชัดและเหมาะกับคนที่สายตาเอียงมากๆ ถึงจะต้องใช้เวลานานในการปรับตัวให้คุ้นเคยกับเลนส์

3. เลนส์แบบพิเศษ
3.1 เลนส์แบบใช้แล้วทิ้ง แบบเปลี่ยนบ่อยๆ และแบบที่กำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า (Frequent and planned replacement soft lens)
3.2 เลนส์ที่ใช้ในการบำบัด (Therapeutic contact lens) ซึ่งใช้ร่วมกับยาเป็นระยะตามกำหนดเพื่อช่วยรักษาดวงตาให้กลับคืนสู่สภาพการ มองเห็นตามปกติ
3.3 เลนส์แบบมีสี (Tinted contact lens) บางชนิดมีสมบัติช่วยป้องกันการดูดกลืนแสง UV ด้วย

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปิดเทอม เปิดบัญชี 5 JOBS IN SUMMER

1. พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด

จากที่เคยเดินไปสั่งซื้อพิซซ่า ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ ดื่มไอซ์ที แล้วนั่งเม้าท์กับเพื่อนฝูงเป็นชั่วโมง ปิดเทอมนี้ลองเปลี่ยนไปรับออเดอร์บ้างเป็นไง นอกจากไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว ยังได้เงินค่าจ้างรายวันกลับมาด้วย แถมบางทีให้หม่ำมือกลางวันฟรีอีกต่างหาก

เท่าที่ทราบ ไม่ว่าจะเป็น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี เชสเตอร์กริลล์ ฯลฯ ต่างอ้าแขนรับลูกค้าวัยโจ๋ให้มาทำงานพิเศษเป็นพนักงาน Part-time ช่วงปิดเทอมอยู่แล้ว จ็อบนี้จึงดูเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเด็กเซ็นเตอร์พ้อยท์เป็นที่สุด เรียกว่าสมัครงานปุ๊บ ต่อให้ไม่มีพี่เลี้ยง ก็สามารถเริ่มงานได้เลย ว่างั้นเถอะ

2. เด็กเสริฟ

ตำแหน่งเด็กเสริฟ ฟังแล้วไม่เท่ แต่เอาเข้าจริงๆ นี่เป็นจ็อบที่มีคะแนนโหวตสูงสุดตลอดกาลในหมู่นักเรียนนักศึกษาเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นงานที่เข้าง่าย-ออกง่าย ไหนๆ ลูกจ้างตัวจริงก็อยู่ไม่ค่อยทน เจ้าของร้านส่วนใหญ่จึงเทใจให้กับเด็ก Part-time ซะเลย นอกจากจะได้เด็กมาช่วยงานร้านในอัตราค่าจ้างไม่สูงเหมือนลูกจ้างประจำแล้ว ใครรู้ใครเห็นก็อาจจะพลอยชื่นชมว่าร้านนี้ใจดี ให้โอกาสเด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกต่างหาก

ที่แน่ๆ ลูกค้ารุ่นพี่ป้าน้าอา มักจะใจอ่อนเวลาเห็นเด็กเสิร์ฟในเครื่องแบบนักเรียนนักศึกษา จากที่ไม่เคยทิปก็อาจจะควักกระเป๋าให้ง่ายๆ หรือที่เคยแจกทิปอยู่แล้วก็อาจจะโปะเพิ่มให้อีก ขอแค่อย่าซุ่มซ่ามไปทำจานแตกหรือเดินชนโต๊ะจนแก้วน้ำกระเด็นใส่หัวลูกค้า เป็นใช้ได้

3. พนักงานห้าง

ชอบเดินห้างนักใช่ไหม ปิดเทอมนี้เลือกเลยจ๊ะว่าอยากไปอยู่ห้างไหน สาขาไหน จะเอ็มโพเรียม พารากอน เซ็นทรัล เดอะมอลล์ หรือโรบินสัน แทบทุกแห่งมีนโยบาย สนับสนุนให้นักเรียนนักศึกษาทำงานพิเศษในช่วงปิดเทอมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะหมุนเวียนไปยังแผนกอะไร เพราะมีตั้งแต่เดินบิล ห่อของขวัญ นั่งเคาร์เตอร์ ฯลฯ

จากที่เคยโฉบไปห้างนั้น 3 ชั่วโมง ห้างนี้ 4 ชั่วโมง คราวนี้แหละได้เวลาปักหลักอยู่ห้างเดียวเป็นวันๆ แถมอาจมีเวลาชะแว้บไปช้อปได้แค่ช่วงพัก ถ้าสมัครใจ จ็อบนี้ก็ดูแสนสบายเพราะได้อยู่ในห้างแช่แอร์ทั้งวัน แต่ถ้ากลัวต่อมช็อปปิ้งระเบิด ขอแนะนำให้ถามใจตัวเองดีๆ อีกทีจ๊ะ

4. มือแจกใบปลิว

เดี๋ยวนี้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ นิยมทำการตลาดแบบเข้าถึงตัวลูกค้า เดินไปทางไหนก็มักจะมีคนยื่นแผ่นกระดาษใส่มือให้ตลอด หยิบขึ้นมาดูมีตั้งแต่ใบปลิวขายขนม โฆษณาโรงเรียนสอนภาษา โปรชัวร์ธนาคาร ตารางมิดไนท์เซลส์ เต็นท์รถ เรื่อยไปถึงแคตตาล็อกคอนโดมิเนียม

ถ้าไม่หวั่นในวัน(มีใบปลิว)มามาก จ็อบนี้เหมาะกับคนชอบอยู่ไม่สุข(แจกใบปลิวมือเป็นระวิง) เหมาะกับใครที่ชอบพบปะผู้คน(เผชิญหน้ากับคนมากมาย) เหมาะกับคนที่มีเวลาไม่แน่นอน(แจกใบปลิวจนกว่าจะหมด)

อ้อ… จ็อบนี้อาจรวมถึงแจกสินค้าตัวอย่างหรือแจกแบบสอบถามด้วย ค่าจ่างมักจะเหมารวม ถ้าแจกใบปลิวก็คิดเป็นล็อต ถ้าแจกแบบสอบถามก็จ่ายตามจำนวนชุดที่ส่งคืนจ๊ะ

5. Indy In Town

แล้วก็มาถึงสุดยอดจ็อบที่เป็น Talk of the town ของชาวเซ็นเตอร์พ้อยท์ จะอะไรอีกถ้าไม่ใช่การชุมนุมยอดฝีมือชาวอินดี้ จะเปิดเทอมหรือปิดเทอม เหล่าอินดี้ก็พร้อมอวดผลงาน สะสมเงินค่าหน่วยกิตกันได้คนละไม่รู้กี่เทอมแล้ว

เพียงแต่ช่วงปิดเทอมอาจมีเวลาสร้างสรรค์ชิ้นงานได้เนี้ยบกว่าเก่า เก๋ากว่าเดิมเพิ่มปริมาณ ส่วนจะเพิ่มราคาหรือเปล่า อันนี้ชาวอินดี้ต้องตอบเองจ๊ะ

ส่วนใครจะร้อย สร้อย เพ้นท์เล็บ เย็บกระเป๋าผ้า ออกแบบเสื้อยืด หรือแม้แต่เล่นดนตรีเปิดหมวก ก็ขึ้นอยู่กับ พรสวรรค์ ในการค้นหาความสามารถความถนัด และความชอบของตัวเอง แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับ พรแสวงด้วย ทั้งแสวงหาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และแสวงหาพื้นที่ดีๆ ที่เหมาะจะอวดผลงานของตัวเอง

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิตามินกินอย่างไรให้ถูกวิธี



วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร ถึงอย่างไร เราก็ไม่กินวิตามินแทนอาหาร และวิตามินไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ถูกต้อง และช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้าขาดวิตามินแล้วร่างกายจะหยุดทำงาน

ในที่นี้จะขอเล่าถึงวิตามินบางตัวที่มีความสำคัญต่อภูมิชีวิต (Immune System) เรา ซึ่งที่น่ารู้จักก็คือ วิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ A, C, D และ E และกลุ่มวิตามิน B ชนิดต่างๆ


วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันสตรีสากล



วันสตรีสากล
(International Women’s Day) ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ของ ทุกปี ผู้หญิงจากทั่วโลกที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านจริยธรรม ภาษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง จะได้มาร่วมเฉลิมฉลองถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และในหลายๆ ประเทศยังกำหนดให้วันนี้เป็นวันหยุดประจำปีอีกด้วย

ความเป็นมาของวันสตรีสากลเริ่มขึ้นจากเหตุการณ์ใน เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบ กดขี่ ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ความเป็นอยู่ของแรงงานสตรีในเมืองชิคาโก ที่ไม่ต่างอะไรจากทาสนิโกรในเงื้อมมือคนผิวขาว เพราะต้องทำงานวันละ 12-15 ชั่วโมง แต่ได้รับค่าแรงานเพียงน้อยนิด ส่วนสตรีตั้งครรภ์มักถูกไล่ออก

ในที่สุดภายใต้การนำของ คลาร่า แซทคิน (Clara Zetkin ) ผู้นำกรรมกรสตรีโรงงานทอผ้าชาวเยอรมัน ลุกฮือ ขึ้นสู้ด้วยการเดินขบวนนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 โดยเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานจากวันละ 12-15 ชั่วโมง ให้เหลือวันละ 8 ชัวโมงพร้อมทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการภายในโรงงาน และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย ในการเรียกร้องครั้งนี้ แม้จะมีหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสตรีทั้งโลก และส่งผลให้วิถีการผลิตแบบทุนนิยมเริ่มสั่นคลอน

อย่างไรก็ตามอีก 3 ปีต่อมา คือ ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 ข้อเรียกร้องของเหล่าบรรดากรรมกรสตรีก็ประสบความสำเร็จ เมื่อตัวแทนสตรีจาก 18 ประเทศ เข้าร่วม ประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ที่ ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี โดยให้ลดเวลาทำงานให้เหลือเพียงวันละ 8 ชั่วโมง ศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และกำหนดให้ค่าแรงงานสตรีเท่าเทียมกับค่าแรงงานชาย อีกทั้งยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย นอกจากนั้นในการประชุมครั้งนั้น ยังได้มีการรับรองข้อเสนอของ คลาร่า แซทคิน ด้วยการประกาศให้

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

9 วิธี หนีอ้วน




อยากผอมทำยังไงดีคะ? แน่ นอนว่าถ้าสาวๆ ไม่เลือกอดอาหารยอมหิวจนตาลายก็ต้องโหมออกกำลังอย่างหนักเหลือทน แต่วันนี้เรามีทางเลือกให้คุณผอมหุ่นเพียวสวยด้วยวิธีง่ายๆ มาเสริฟถึงที่ค่ะ ที่สำคัญไม่ต้องอดอาหารและไม่จำเป็นต้องโหมออกกำลังกายค่ะ แค่เปลี่ยนพฤติกรรมแสนง่าย 9 อย่างเท่านั้นเองค่ะ

1. นอนหลับให้เต็มอิ่ม จากการวิจัยของสถาบัน Howard Hughes Medical มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่ายิ่งคุณนอนน้อยเท่าใด ร่างกายของคุณก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งผลิตฮอร์โมน leptin ได้น้อยลงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะมีผลต่อน้ำหนักตัว เนื่องจาก leptin จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นน้ำหนักให้ลดลงได้ถึง 2 ทาง คือ มันจะช่วยลดความอยากในการรับประทานได้ โดยการบอกสมองว่า นี่! หยุดเคี้ยวซักทีเถอะ อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้วนะและ อีกด้านหนึ่งมันก็จะกระตุ้นให้คุณใช้พลังงานมากขึ้นซะอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นยังเห็นได้ชัดอีกว่าเมื่อเรานอนน้อยร่างกายก็จะไปต้านการลดลง ของน้ำหนัก จากการที่ ghrelin ฮอร์โมนซึ่งทำ หน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร จะมีปริมาณสูงกว่าในบรรดาผู้ที่นอนไม่พอ (แต่ถ้าเกิดคุณนอนไม่พอในคืนหนึ่ง ลองพยายามงีบหลับให้ได้ในวันต่อมา เพราะฮอร์โมนจะไปทำให้คุณต้องปิดตาหลับภายใน 24 ชั่วโมงแน่นอน)

2. ปิดวิทยุซะ คุณรู้มั้ยว่าเวลาตามร้านอาหารต่างๆ ถ้าเขาอยากจะให้ลูกค้าภายในร้านจัดการกับอาหารตรงหน้าให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบออกจากร้านไปโดยเร็วนั้น ทางร้านก็จะเปิดเพลงจังหวะเร็ว (ประมาณ 120-130 จังหวะ ต่อนาที) ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งถือว่าเป็นเหตุผลที่ดีนะคะ เพราะว่าจังหวะเพลงที่เร็วนี้จะทำให้คุณใส่ใจกับการรับประทานอาหารตรงหน้า มากขึ้นค่ะ ฉะนั้นก่อนมื้ออาหารถ้าอยากผอมจงเลือกเอาว่าจะปิดวิทยุของคุณซะ หรือจะบรรเลงใส่แผ่นเพลงเบาๆ ใส่เครื่องเสียงของคุณระหว่างทานอาหารมื้ออร่อย

3. กินให้ครบทุกมื้อ ข้อนี้สำหรับสาวๆ ที่ชอบอดอาหารมื้อเช้าเพื่อความผอม เพราะเชื่อเถอะค่ะว่าไม่มีประโยชน์หรอก ซ้ำยังทำให้คุณอ้วนขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกนะในเมื่อเช้าคุณไม่ได้ทานอะไรด้วยเหตุอยากผอม แต่กลายเป็นว่าตกกลางวันคุณกลับหิวไส้แทบขาด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่คุณหยิบจับขึ้นมาได้ ก็ขนใส่ปากไปไม่บันยะบันยังซะหมด ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากเหตุผลหลายๆ อย่าง อาทิ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง คุณก็จะรู้สึกโหยหาอาหารอย่างแรง ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายค่ะ และด้วยกลไกทางด้านความรู้สึกนึกคิด เมื่อคุณไม่ได้ทานอาหารมื้อเช้า มื้อถัดมาคุณก็จะทานมากขึ้น เพราะคิดว่าเอาเถอะน่าเมื่อเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ชดเชยซะหน่อยแล้วกันที่ สำคัญร่างกายของคุณก็จะยิ่งคิดว่าตอนนี้คุณอยู่ในภาวะขาดอาหาร ฉะนั้นระบบเมตาโบลิซึมของคุณจะค่อยๆ ทำงานช้าลง นั่นแปลว่าการเผาผลาญพลังงานก็จะต่ำลงไปด้วย เข้าใจง่ายๆ ก็ คราวนี้แหละคุณขา อ้วนแน่ๆ

4. อย่าเอะอะอะไรก็ใช้รถๆ หัดเดินซะบ้าง อย่าปฏิเสธว่าข้อนี้ไม่จริงเลย เพราะการใช้รถในแต่ละวันจะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ถึง 6% ต่อชั่วโมง แต่ในทางกลับกันทุกๆ ไมล์ในการเดินของคุณในแต่ละวันจะกลับเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ถึง 8 % แล้วจะ ทำอย่างไรดีล่ะ ง่ายๆ ค่ะ เวลาคุณคุยโทรศัพท์เม้าส์กับเพื่อนสาวเรื่องยัยเพื่อนร่วมงานตัวแสบเนี่ย ช่วยได้นะ แค่คุยไปคุยมาแล้วเดินวนรอบห้องเผลอแป๊ปเดียวก็เดินเป็นกิโลๆ แล้วล่ะ ยิ่งถ้าเราจะขว้างแคลอรี่ไปไกลๆ จากเราจริงๆ ล่ะก็ เวลาดูทีวีพอถึงช่วงเบรคโฆษณาก็ลุกขึ้นย้ายตัวเองไปรอบๆ บ้าง หรือไม่ก็ลองขึ้นๆ ลงๆ บันไดบ้านนี่ล่ะดู ผลัดกับการเดินเร็วๆ จากห้องหนึ่งไปยังห้องหนึ่งในบ้านดูสิ หรือเด็ดสุดก็อีตอนช้อปปิ้งนี่แหละ เซย์โนลิฟท์และบันไดเลื่อนสิคะ รับรองผอมค่ะ

5. แค่โดนแดดบ้างก็ผอมแล้ว อย่างงค่ะ คุณคงไม่รู้มาก่อนว่าแสงแดดทำให้ผอมได้ เพราะร่างกายของเราต้องการแสงแดดเหมือนกัน เพื่อไปผลิตฮอร์โมน serotonin ซึ่ง มีส่วนในการไปช่วยลดความอยากน้ำตาลและอาหารอย่างอื่นด้วย ดังนั้นเมื่อคุณเริ่มที่จะอยากทานพวกขนุกขนมก็เดินออกไปรับแดดแทนแล้วกัน อืม...แล้วแม้แต่ช่วงอากาศเย็นๆ ก็เถอะหากเปิดผ้าม่าน บานเกล็ด ระหว่างวันซะบ้างก็ยังดีนะ (แต่อย่าอยากขนมมากทั้งวันนะ ไม่งั้นคงต้องไปตากแดดจนมะเร็งผิวหนังถามหาแน่ๆ )

6. อย่าเก็บคุ๊กกี้หรืออาหารอย่างอื่นไว้ในโถแก้ว เพราะถ้าคุณเก็บอาหารไว้ในที่ๆ ไกลสายตาหน่อย มันก็ง่ายที่จะป้องกันไม่ให้ของอ้วนๆ มาเย้ายวนเรา ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลได้แนะว่าสาวๆ จะกินของหวานได้มากขึ้นเมื่อเห็นมันจัดวางอยู่บนโต๊ะเด่นชัดสวยงาม ดังนั้นมาลองเก็บของหวานทั้งหลายไว้ในภาชนะทึบแสงหรือไปวางไว้ไกลๆ ตาไกลๆ จมูกจะดีกว่านะคะ

7. วางส้อมลงทุกครั้งที่เคี้ยว ช่วงเวลา 20 นาที เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารจะส่งสัญญาณไปบอกสมองว่าอิ่มแล้ว ดังนั้นเมื่อคุณทานอาหารเร็วเกินไป ร่างกายของคุณก็จะไม่มีเวลาพอที่จะรับรู้ได้ว่าถึงเวลาที่ควรอิ่ม ผลที่ตามมาก็คือคุณทานมากไป การทานช้าลงเท่านั้นค่ะที่ช่วยได้ คุณอาจจะใช้ตะเกียบมาเป็นตัวช่วยในการทานอาหารก็ได้ จะทำให้คุณทานอาหารได้ช้าลง (ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ มัวแต่สาละวนอยู่กับการใช้ตะเกียบให้ถนัดมือ) หรือลองอีกวิธีที่จะทำให้คุณรับรู้ได้ถึงรสอร่อยของอาหารมากขึ้น โดยเคี้ยวแต่ละคำให้ได้เวลาราว 30 วินาที แค่นี้คุณก็จะเห็นได้เลยว่าการทานอาหารช้าๆ ทำให้รับรู้ถึงรสชาติอาหารดีขึ้นและผอมค่ะ

8. เปิดไฟทานอาหาร ในห้องที่มืดสลัว จะทำให้คุณทานได้มากขึ้น ทำไมน่ะเหรอ คำตอบอยู่ที่ทฤษฎีหนึ่งที่กล่าวไว้ว่าแสงไฟมืดสลัว จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับการรับประทานมากขึ้น ในทางกลับกันมีการวิจัยว่าเมื่อคุณทานอาหารในห้องที่สว่าง ก็ดูเหมือนว่าคุณจะทานอาหารได้ลดลง

9. แค่โกรธก็อ้วนแล้ว ถ้าคุณไม่รู้จักระงับอารมณ์คุณก็มีสิทธิ์อ้วนได้ ยังไงน่ะเหรอ ก็เวลาที่คุณเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมา ระดับของฮอร์โมน cortisol ใน ร่างกายก็จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ จากผลงานวิจัยพบว่าเมื่อคนเราโกรธ และหากยิ่งโกรธถี่ขึ้นเท่าไหร่ นั่นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักและรอบเอวหนาๆ ในทางอ้อม (แถมยังเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อปัญหาของระบบหัวใจอีกต่างหาก) ดังนั้นคราวหน้าถ้าใครมายั่วอารมณ์คุณ ก็นับ 1-10 สูดหายใจลึกๆ ตั้งสติดีๆ แค่นั้นเอง นึกซะว่าเพื่อผอมๆๆๆ หรือใช้นิ้วโป้งนวดคลึงเบาๆ บริเวณขมับเพื่อการผ่อนคลายก็ได้ค่ะ

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันนักข่าว

วันนักข่าว หรือ วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 5 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ได้มีการจัดตั้งสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย
วันนักข่าว ถือกำเนิดมาจากวันที่นักข่าวรุ่นบุกเบิกหลายท่านได้ร่วมชุมนุมกันก่อตั้ง สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยขึ้นมาเมื่อ 48 ปีที่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นหนังสือพิมพ์ทั้งหลายต่างให้ความสำคัญกับ "วันนักข่าว" กันเป็นอย่างดี ซึ่งถือว่าเป็นวันหยุดการทำงานของบรรดานักข่าวทั้งหลาย เป็นที่ทราบกันดีว่าวันที่ 6 มีนาคม ของทุกปีจะไม่มีหนังสือพิมพ์ออกมาขาย ต่อมาเมื่อความต้องการในข่าวสารมีมากขึ้นชาวนักข่าวทั้งหลายได้มีการแอบออก หนังสือพิมพ์มาขายในวันที่ 6 มีนาคม ทำให้หนังสือพิมพ์อื่นจำใจต้องเลิกประเพณีนี้ไป

เมื่อวันที่ 5 เป็นวันหยุดของนักข่าว สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้จัดเฉลิมฉลองกันได้อย่างเต็มที่ ในการจัดงานประชุมใหญ่และงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี แต่เดิมได้จัดที่บริเวณถนนราชดำเนินซึ่งบรรดาเหยื่อข่าวได้มาพบปะสังสรรค์ กันที่ริมฟุตบาทถนนราชดำเนิน

เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาจำนวนสมาชิกของสมาคมได้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับถนนราชดำเนินได้เป็นถนนสายหลัก ที่มีผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมากสถานที่ของสมาคมจึงคับแคบและการจัดงานของ สมาคมยังสร้างความเดือดร้อนให้แก่บุคคลที่สัญจรไปมา การจัดการประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมจึงต้องย้ายสถานที่ไปตามโรงแรมต่างๆ

ประวัติศาสตร์วงการข่าวในประเทศไทย

ในสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ตอนนั้นเมืองไทยเรายังใช้กฎหมายเดิมของพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถซึ่งใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยนั้น มี หมอ ดี. บี. บรัดเลย์ ในคณะมิชชันนารีชาวอเมริกัน บอร์ด คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ ฟอเรน มิชชั่น เข้ามาในประเทศ และได้เริ่มทำหนังสือพิมพ์ขึ้นเป็นฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ. 2336 ชื่อ "บางกอกรีคอร์ดเดอร์ส" โดยหมอบรัดเล เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งท่านก็คือ "นักข่าว" คนแรกนั่นเอง

สมัยนั้น เสรีภาพ ยังไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนรู้จัก การเสนอข่าวให้กับประชาชนยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากกฎหมายในสมัย นั้นไม่เอื้ออำนวยให้หนังสือพิมพ์ทำงานได้อย่างสะดวก การที่รัชกาลที่ 4 ให้สิทธิกับชาวต่างชาติในเมืองไทยได้รับสิทธิพิเศษในการที่ทำผิดแล้วไม่ต้อง ขึ้นศาลของไทย ให้ขึ้นศาลของชนชาติตนเอง ทำให้เกิดการกดขี่ ข่มเหง กลั่นแกล้ง เกิดความวุ่นวายของต่างชาติกับคนไทยมากมาย หมอบรัดเล เสนอข่าวนี้พาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้หนังสือพิมพ์ต้องปิดตัวลงในเวลาต่อมา

แต่การเสนอข่าวมิได้จบลงเพียงเท่านั้น ในสมัยรัชกาลต่อมา ๆ หนังสือพิมพ์ก็เกิดขึ้นอีกหลายฉบับ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองจากระบอบ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" มาเป็น "ประชาธิปไตย" การเสนอข่าวเกี่ยวกับรัฐบาลจึงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับนักข่าว เพราะรัฐบาลสมัยนั้นลงโทษหนังสือพิมพ์ที่เสนอข่าวที่รัฐบาลเห็นว่าผิดโดยการ "ปิด" สถานเดียว ทำให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นมาว่า การเสนอข่าวนั้น เป็นมุมมองของ "นักข่าว" เท่านั้น

ดังนั้นการลงโทษด้วยการ "ปิด" เป็นการลงโทษที่เหมารวมทั้งหน่วยงาน จึงเป็นการลงโทษที่ไม่สมเหตุสมผล วันที่ 19 กันยายน พ.ศ 2475 สมัยที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมตรีจึงได้เสนอ "กฎหมายเซ็นเซอร์" ขึ้นเพื่อใช้ควบคุมการเสนอข่าวของนักข่าว

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง


1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานขอลสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของน้ำแร่

น้ำแร่เป็นน้ำที่มีสารบางอย่างละลายอยู่ซึ่งไม่มีอยู่ในน้ำธรรมชาติ ชนิดอื่นๆ สารที่ละลายอยู่เช่น สังกะสี กำมะถัน เป็นต้น บ่อน้ำแร่ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยมีหลายแห่ง เช่นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี ระนอง เป็นต้น สำหรับน้ำแร่บรรจุขวดที่ขายในเมืองไทย ส่วนมากสั่งมาจากประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม
น้ำแร่, ประโยชน์ของน้ำแร่, สุขภาพ, บ่อน้ำแร่, แร่ธาตุ

แหล่งน้ำแร่แต่ละแหล่งจะมีแร่ธาตุต่างกัน ประโยชน์ของน้ำแร่จึงอยู่ที่แร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำนั้นๆ เช่น

- น้ำแร่ที่มีเกลือซัลเฟตของโซเดียมหรือแมกนีเซียม จะเป็นยาระบายช่วยขับถ่าย
- น้ำแร่ที่มีฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบ มีประโยชน์ในการป้องกันฟันผุ
- น้ำแร่ที่มีฤทธิ์เป็นเบส ซึ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นองค์ประกอบ จะช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนั้นยังทำให้น้ำมีรสชวนดื่มอีกด้วย
- น้ำแร่ที่เป็นด่างมีเกลือไบคาร์บอเนต อาจช่วยลดกรดในกระเพาะ

น้ำ แร่ที่บริสุทธิ์ต้องมีส่วนประกอบและคุณสมบัติของน้ำแร่คงเดิมเท่าที่มีอยู่ ในธรรมชาติ ไม่มีการปนเปื้อนหรือปรุงแต่งด้วยสารเคมีใดๆ เพราะน้ำแร่ในธรรมชาติเองมีความสะอาด ผ่านการกรองจากชั้นดินต่าง ๆ มาอย่างดี เวลานำน้ำแร่ไปบรรจุขวดจำหน่าย เพียงแต่นำมาผ่านการฆ่าเชื้อโรคพวกเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ แล้วนำไปผ่านเครื่องกรอง จากนั้นจึงตรวจสอบคุณภาพให้ได้มาตรฐาน คือ ต้องไม่มีแร่ธาตุเกินอัตราส่วนที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย

นัก วิทยาศาสตร์จากหลายประเทศในยุโรปเชื่อว่าน้ำแร่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็เป็นความเชื่อที่ขาดหลักฐานการทดลองทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาหารมื้อเช้า ช่วยควบคุมน้ำหนัก



อาหารมื้อเช้า ไม่เพียงแต่จะช่วยคุณรักษาสุขภาพและทำให้ผอมเพรียว แต่ยังเป็นวิธีการเห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะแบบง่าย ๆ ด้วย งานวิจัยจำนวนมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า นี่คืออาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของวันด้วย เหตุผลต่อไปนี้

-
ทำให้เราได้รับสารอาหารครบถ้วนขึ้น อาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปังกับแยม
- ซีเรียล นม และผลไม้ ก็ให้สารอาหารมากมาย ทั้งแคลเซียม วิตามินบี 6 โฟเลต
- ไรโบฟลาวิน และธาตุเหล็ก และงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนที่งดอาหารเช้ามักจะไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการเพียงพอในแต่ละวัน
- เพิ่ม ประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เด็กที่กินอาหารเช้าเรียนรู้ได้ดีกว่า สอบได้คะแนนมากกว่า และมีปัญหาด้านพฤติกรรมน้อยกว่า นี่คือผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด ส่วนผู้ใหญ่ก็จะตื่นตัวกว่า และทำงานได้ดีกว่าเช่นกัน ถ้าหาเวลากินอาหารเช้า ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก คนเรามักชอบงดอาหารเช้าเพื่อควบคุมน้ำหนัก แต่กลับทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลว เพราะการงดอาหารเช้าทำให้หิวมากขึ้นใน ช่วงหลังๆ ของวัน และสงผลให้บริโภคมากขึ้น ในการวิจัยของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ในเมืองเอลปาโซ ซึ่งศึกษาการจดบันทึกการกินอาหารของหญิงและชาย 586 คน พบว่ายิ่งคนเรากินอาหารมากขึ้นเท่าไหร่ในตอนเช้า พวกเขาก็ยิ่งบริโภคน้อยลงตลอดทั้งวัน

เริ่มต้นมื้อเช้าคุณภาพ
#
การ กินอาหารเช้าอาจช่วยให้มีพลังความสามารถเพิ่มมากขึ้นในช่วงสายหรือกลางวัน มีสมาธิในการทำงานและแก้ปัญหา มีความสนใจได้ยาวนานกว่า ทั้งยังช่วยลดความหงุดหงิดและเพิ่มความอดทนอดกลั้นได้ดีกว่าด้วย เอาล่ะ เมื่อเราเห็นประโยชน์แล้ว ก็หันมาใส่ใจกับอาหารเช้าได้แล้ว

# วาง แผนไว้ล่วงหน้า ปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการของอาหารเช้าให้ประสบความสำเร็จ คือการเตรียมการไว้ล่วงหน้าสักหนึ่งคืน และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในช่วงเช้าเพื่อลงมือจัดอาหารเช้าที่ง่ายและได้ ประโยชน์ครบถ้วน ช่วยสร้างความรู้สึกสนุกสนาน การเลือกรับประทานอาหารอย่างฉลาดและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน สำหรับการเริ่มต้นใหม่ จะช่วยทำให้เวลาที่เหลือในวันนั้นมีศักยภาพมากขึ้น

# เลือก อาหารเช้าอย่างง่าย คนส่วนใหญ่มักอ้างเหตุผลของการไม่ทานอาหารเช้าเพราะ “ไม่หิว” หรือ “ไม่มีเวลา” แต่อุปสรรคนั้นแก้ไขได้ง่ายเพียงแค่เลือกเมนูอาหารเช้าที่ปรุงง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก สำหรับคนที่ชินกับการไม่ทานอาหารเช้า เริ่มจากกินนิดๆ หน่อย ๆ ปริมาณน้อย ๆ และตั้งใจทำให้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของคุณให้ได้ก็พอ

# เน้น ไขมันต่ำ เส้นใยสูง อาหารที่มีเส้นใยสูงดีต่อระบบย่อยอาหารและการควบคุมน้ำหนักตัว อาหารมื้อเช้าควรมีปริมาณเส้นใย 3-5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค การเลือกรับประทานขนมปังโฮลวีต กับแยม Best foods สูตรเพิ่มเนื้อผลไม้เป็นอาหารมื้อแรกของวันจะช่วยให้ร่างกายของเราได้รับ ปริมาณสารอาหารประเภทเส้นใยสูง ไขมันต่ำ อีกทั้งยังได้วิตามินซีจากผลไม้ในแยมด้วยและให้พลังงาน โดยไม่ทำให้กระเพาะทำงานหนักเกินไป

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

13 วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน

หน้าร้อนแบบนี้ ยิ่งเป็นบ้างเรา ยิ่งร้อนมากมาย เจ็บป่วยก็ง่ายแสนง่าย มาดูแลสุขภาพกันหน่อยนะจ๊ะเพื่อนๆ เดี๋ยวจะเที่ยวปิดเทอมไม่สนุกนะ

หน้าร้อน, SUMMER, สุขภาพ, เคล็ดลับ, ความรู้, ฮอต, แดด
1. ไม่ควรกินน้ำแข็งหรือดื่มน้ำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่ที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม

2. เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้

3.ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความ ร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่อแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

4. การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

5. อย่างด อาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการ สารอาหาร เพื่อกระตุ้น ระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วย ควบคุมน้ำหนัก ด้วย แต่ควรหลีกเลี่ยง อาหาร จำพวก แป้งขัดขาว หรือ ของทอด ของมัน หากควบคุมอาหาร แล้วยังรู้สึก ท้องอืด และ อึดอัด อยู่ เม็กซ์ ทอมลินสัน นักโภชนาการ แนะนำให้ดื่ม น้ำชา เปปเปอร์มิ้นต์ ช่วยขับลม จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

6. ดูแลสุขภาพของเด็กโดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และทางเดิน

7. หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อ ป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป

8. บุคคลที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอาย ุผู้ที่มีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน เป็นต้น

9. อย่าทา ครีมกันแดด อย่างเร่งรีบ แพทย์ ผิวหนัง แนะนำให้ทาให้ทั่วถึงแม้แต่ ในร่มผ้า ด้วย โดยทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และหลัง ว่ายน้ำ แม้ผลิตภัณฑ์จะเป็นสูตรกันน้ำ ก็ตาม โดยควรเลือกที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรอง รังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier

10. อากาศร้อนจัดมีผลต่อ อารมณ์ หงุดหงิด และ หดหู่ (SAD - Seasonal Affective Disorder) จากสถิติ ผู้หญิงจะเป็นมากกว่า ผู้ชาย ดังนั้นลองออกไป เดินเล่น ช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือช่วงที่คนไม่มาก สิ่งสำคัญคือ พยายาม กระฉับกระเฉง เข้าไว้

11. หากผิวแสบร้อนจาก การโดนแดด แพทย์ผิวหนัง แนะนำให้กิน ยาแอสไพริน เพื่อ ลด อาการเจ็บปวด แล้วลองแช่ตัว ใน อ่างน้ำ อุณหภูมิร่างกาย โดยใส่ ออยล์ สำหรับ แช่อาบ จากนั้น บำรุงผิว ด้วย โลชัน ที่มีส่วนผสมของ ว่านหางจระเข้ หรือ อาฟเตอร์ซันเจล และหลีกเลี่ยงแดด ในวันถัดไป

12. ลองทำ สเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียม อย่างง่าย ๆ คือ น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่ เอสเซ็นเชียลออยล์ กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ 2 หยด และ สเปียร์มิ้นต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ใน กระบอกฉีด สำหรับพกติดตัว

13. หากต้องออกไปเผชิญ อากาศร้อน ภายนอก ควรใช้ เครื่องสำอาง เนื้อครีม ที่ปัจจุบันมี เนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามัน ปัดทับด้วย บรอนเซอร์ หรือ แป้งชนิดฝุ่น

อ่านกันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้ในหน้าร้อนนี้กันด้วยนะจ๊ะ เพื่อนๆ