
บริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นมากที่สุดในโลกนั้น ได้แก่ ทวีปแอนตาร์กติก ซึ่งวัดอุณหภูมิได้ต่ำกว่า -89.2 องศาเซลเซียส จากการที่มีการเขียนบันทึกเอาไว้ในปี ค.ศ.1983
พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย ได้ทรงส่งเสริมให้ก่อตั้งสหกรณ์แห่งแรกคือ สหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จำกัดสินใช้ ณ ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก และทรงเป็นนายทะเบียนสหกรณ์(พระองค์แรก) รับจดทะเบียนเป็นสหกรณ์แห่งแรก เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2459 ตามรูปแบบสหกรณ์ เครดิตแบบไรฟ์ไฟเซน ที่ได้รับความสำเร็จ มาแล้วใน อินเดีย และพม่า ซึ่งทั้งสองประเทศได้ส่งคนไปศึกษาจากประเทศเยอรมนี และเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น "วันสหกรณ์แห่งชาติ "
ความเป็นมาของสหกรณ์ในประเทศไทย
สหกรณ์ ถือกำเนิดมาจากปัญหาในปลายสมัยรัฐกาลที่ 5 ระยะแรก การสหกรณ์ในประเทศไทยเริ่มต้นด้วยการทดลองจัดตั้งสหกรณ์ประเภทหาทุนขึ้นใน ปีพ.ศ.2459 การจัดตั้งสหกรณ์ในระยะแรกจึงดำเนินไปอย่างช้าๆ จนถึงสิ้น ปีพ.ศ.2470 ซึ่งเป็นเวลา 12 ปี นับตั้งแต่เริ่มนำสหกรณ์เข้ามาในประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งสหกรณ์ประเภทนี้ขึ้นมาเพียง 81 สมาคมเท่านั้น ซึ่งจัดตั้งอยู่ใน 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก ลพบุรีและอยุธยา โดยมีเงินทุนให้กู้ยืมเพียง 300,000 บาทเศษ เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่าสหกรณ์เป็นสิ่งที่สามารถจัดทำได้สำเร็จ จึงประกาศใช้ พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2471 ขึ้น และจัดหาทุนมาให้กู้ยืมมากขึ้น หลังจากนั้น 5 ปี ได้มีการขยายสาขาออกไปได้อีก 7 จังหวัด
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 การสหกรณ์จึงได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมสหกรณ์ มีการจัดตั้งสหกรณ์ประเภทอื่นๆ ขึ้น เช่น สหกรณ์ออมทรัพยร์ สหกรณ์ที่ดิน ร้านสหกรณ์ ต่อมาสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ขยายงานสหกรณ์จากระดับกรมขึ้นมาเป็นระดับกระทรวง เมื่อปี พ.ศ.2495 ระยะอยู่ตัว หลังจากปี พ.ศ.2497 อัตราการขยายตัวของสหกรณ์ลดลงเนื่องจาก เป็นระยะที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสหกรณ์มาก่อน จนไม่สามารถจะดูแลให้ทั่วถึง ในขณะเดียวกันกระทรวงสกหรณ์ถูกยุบไปรวมกับกระทรวงการพัฒนาการแห่งชาติ ขาดกำลังเจ้าหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนแปลงของสหกรณ์คือ มีการยุบกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2515 ซึ่งมีผลทำให้กรมสหกรณ์ทีดิน กรมสหกรณ์พาณิชย์และธนกิจ และสำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเดิม ถูกยุบมารวมเป็น "กรมส่งเสริมสหกรณ์" เพียงกรมเดียว ส่วนกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ยังคงอยู่ในฐานะเดิมเพราะงานตรวจสอบบัญชีเป็นงานอิสระ
ผลการดำเนินงานทางสหกรณ์ในธุรกิจต่างๆ ได้รับความเชื่อถือเป็นที่ไว้วางใจของสมาชิกจนทำให้จำนวนสหกรณ์ จำนวนสมาชิก ปริมานเงินทุน และผลกำไรของสหกรณ์เพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันสหกรณ์ ทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 มกราคม 2542 ประมาณ 5,549 สหกรณ์ และสมาชิก 7,835,811 ครอบครัวของสหกรณ์ในประเทศไทยจึงมี ความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ของประเทศโดยเฉพาะต่อประชาชนที่ยากจน สหกรณ์จะเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพ และช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชานให้ดีขึ้น
รัฐและขบวนการสหกรณ์ไทยได้ร่วมจัดงาน "วันสหกรณ์แห่งชาติ" ขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาคุณขององค์ผู้ให้กำเนิด"สหกรณ์" พระองค์ท่านไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับจดทะเบียนเท่านั้น แต่เป็น "พระบิดาแห่งสหกรณ์ไทย" ยังเป็นผู้ปูพื้นฐานและทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่และจัดตั้งขยายกิจการ การสร้างความผาสุกแก่ประชาชนเพื่อการกินดีอยู่ดี เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ
กิจการวิทยุกระจายเสียงในประเทศไทยมีมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 ด้วยพระดำริของ พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และโทรคมนาคม พระองค์ทรงดำริตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงขึ้น เมื่อพ.ศ.2471 โดยสั่งเครื่องส่งกระจายเสียงคลื่นสั้นเข้ามาทดลอง และให้อยู่ในความควบคุมของช่างวิทยุ กรมไปรษณีย์โทรเลข ตั้งสถานีที่ตึกที่ทำการไปรษณีย์ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลวัดราชบูรณะเป็นครั้งแรก ใช้ชื่อสถานีว่า "4 พีเจ" (HS 4 PJ)
ต่อมาได้มีการประกอบเครื่องส่งคลื่นขนาดกลาง 1 กิโลวัตต์ ขึ้น ทำการทดลองที่ตำบลศาลาแดงใช้ชื่อสถานีว่า "หนึ่ง หนึ่ง พีเจ" (HS 11 PJ) ซึ่งการใช้ชื่อสถานีว่า "พีเจ" ในยุคนั้น ย่อมาจากคำว่า "บุรฉัตรไชยากร" อันเป็นพระนามเดิมของพระองค์ท่านนั่นเอง
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2473 ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคล ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเปิดการส่งวิทยุเป็นปฐมฤกษ์ โดยใช้ชื่อสถานีว่า “สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท” (Radio Bangkok at Phyathai) ตั้งอยู่ที่วังพญาไท มีกำลังส่ง 2.5 กิโลวัตต์
พิธีเปิดสถานีกระทำโดยอัญเชิญกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เข้าไมโครโฟนถ่ายทอดไปตามสาย เข้าเครื่องส่งแล้วกระจายเสียงสู่พสกนิกร นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุในประเทศไทย
ต่อมา วันที่ 1 มกราคม 2484 กรมโฆษณาการ (เปลี่ยนชื่อมาจากสำนักงานโฆษณาการ) ได้เปลี่ยนชื่อเรียกสถานีวิทยุจากเดิม "สถานีวิทยุกรุงเทพฯที่พญาไท" หรือ Radio Bangkok at Phyathai เป็น สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย หรือ Radio Thailand มีฐานะเป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีหลายพระนาม คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชรญ์ เป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าปราสาททอง พระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา กับพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (ไม่ปรากฏชื่อพระมารดา แต่มีปรากฎในหนังสือของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอ้างใน พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า )
ทรงพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ ปี พ.ศ. 2175 ส่วนเหตุที่มีพระนามว่า "นารายณ์" มีที่มาน่าสนใจคือ ( มีอ้างในพงศาวดาร ) มีพระญาติวงศ์เหลือบเห็นเป็น 4 กร สมเด็จพระเจ้าประสาททองตรัสแจ้งความเป็นอัศจรรย์ แล้วก็พระราชทานนามว่า "พระนารายณ์ราชกุมาร"
พระองค์ทรงปราบดาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อ พ.ศ.2199 ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2205 เริ่มมีชาติตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ศาสนา ชาติแรกที่เข้ามาคือ ฝรั่งเศส เป็นมิชชันนารี ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีประปรีชาสามารถมาก ทรงเล็งเห็นประโยชน์จากชาวต่างชาติจึงทรงเริ่มดำเนินการประสานสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส
ทรงจัดคณะฑูตนำพระราชสาสน์ไปเจริญสัมพันธ์ไมตรี ณ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับสมัย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงตอบรับด้วยเล็งเห็นว่าจะชักชวนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนับถือศาสนาคริสต์ ตามพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงทรงให้ราชฑูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2228
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงทราบจุดหมายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ดี แต่เนื่องจากจุดประสงค์ของพระองค์คือการส่งเสริมการค้าขายและความเจริญ ของกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก จึงทรงปฏิเสธด้วยพระปรีชาสามารถอันแยบยลว่า " การที่ผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้น ย่อมแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์จะบันดาลให้เป็นไป ถ้าคริสต์ศาสนาดีจริงแล้ว และเห็นว่าพระองค์สมควรที่จะเข้าเป็นคริสตศาสนิกชนแล้ว สักวันหนึ่งพระองค์จะถูกดลใจให้เข้ารีตจนได้"
พระองค์ ทรงทำให้หัวหน้าราชฑูตของฝรั่งเศสเลื่อมใสในพระปรีชาสามารถของประองค์เป็น อย่างมาก นอกจากพระราชกรณียกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองแล้ว ก็ปรากฏว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงพระปรีชาญาณในศิลปวรรณคดีเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเรื่อง เท่าที่ทราบกันต่อมาในบัดนี้ มีดังนี้
1.พระราชนิพนธ์โคลง เรื่องทศรถสอนพระราม
2.พระราชนิพนธ์โคลง เรื่องพาลีสอนน้อง
3.พระราชนิพนธ์โคลง เรื่องราชสวัสดิ์
4.สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนกลาง)
5.คำฉันท์กล่อมช้าง (ของเก่า)
6.บทพระราชนิพนธ์โคลงโต้ตอบกับศรีปราชญ์และกวีมีชื่ออื่นๆ
หาความชันของ Ll
จากสูตร Y = MX + C
จะได้ Y = -2X + 8
ดังนั้น ML1 = -2
แต่เส้นตรงที่ลากจากจุด (X,Y) มายัง (4,0) จะตั้งฉากกัน ดังนั้น จะได้ว่า
ML1 • ML2 = -1 (M คือความชัน)
(-2) (ML2) = -1
ดังนั้น ML2 = ½
เนื่องจาก L2 ผ่านจุด (4,0) จะได้ว่า
Y = MX + C
===> 0 = (½)(4) + C
===> C = - ½
ดังนั้น สมการ L2 คือ Y = ½ X - ½ หรือ 2Y = X - 1 ---» 1
ให้ (X,Y) คือจุดศูนย์กลางของวงกลมจะได้ว่า
(X-4)2 + (Y-0)2 = (X-7)2 + (Y-3)2
เนื่องจาก (7,3) และ (4,0) อยู่บนเส้นรอบวงของ (X,Y) จะได้
X2 - 8 x + 16 + Y2 = X2 - 14X + 49 + Y2 - 6Y + 9
6X + 16 = -6Y + 58
ดังนั้น X + Y = 7 ---» 2
จาก ---» 1 และ ---» 2 X = 7 -Y ---» 3
นำ ---» 3 แทนใน ---» 1 จะได้
2Y = (7-Y) - 1
3Y = 6
Y = 2
ดังนั้น X = 5
จะได้ จุด (5,2) เป็นจุดศูนย์กลาง
(5-4)2 + (2-0)2 = r2
12 + 4 = r2
ดังนั้น r2 = 5
จะได้สมการวงกลม คือ
(X-5)2 + (Y-2)2 = 5
กินให้สวย เป็นนางงาม
เรื่องความสวยความงามกับอาหารการกินดูเหมือนจะเป็น 2 สิ่งที่เดินสวนทางกัน แต่ก็ไม่เสมอไปหรอกน่า วันนี้มีเคล็ดลับกินให้สวยเป็นนางงามมาฝากกัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ระหว่างไดเอ็ท ควบคุมอาหาร หรือว่าชอบอาหารอย่างไหนเป็นพิเศษก็ตาม ควรจำไว้ว่ารายการอาหารเพื่อสุขภาพ 10 อย่างข้างล่างนี้ จะช่วยให้คุณแลดูสวยอย่างมีสุขภาพได้เลยทีเดียว
1. ผลไม้ มีงานวิจัยที่แนะนำว่าให้กินผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนในแต่ละวัน เพราะมีคุณประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งบางประเภทได้
2. กรดไขมัน ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย (Essential fatty acids) หรือที่รู้จักกันว่าเป็นไขมันส่วนที่ดี จะเข้าไปช่วยทำให้ผิว ผมและเล็บดูแข็งแรง
3. กระเทียม อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนี เพราะว่ากระเทียมเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ป้องกันมะเร็งได้ กระเทียมยังช่วยลดคอเลสเทอรอลและความดันโลหิตอีกด้วย
4. ควรเลือกดื่มชาเขียว ด้วยเหตุผลเดียวกับกระเทียมคือมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันมะเร็งบางชนิด ทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย
5. ผักใบเขียว เนื่องจากมีวิตามินเอและอี พร้อมกากใย และธาตุเหล็ก วิตามินเอบำรุงตาและผิวหนัง ส่วนวิตามินอีช่วยความยืดหยุ่นของผิว กากใยช่วยการขับถ่าย ส่วนธาตุเหล็กไปช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
6. อย่าลืมดื่มนม เพราะเป็นแหล่งแคลเซียมและวิตามินดี เป็นประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกผุ
7. ถั่วเหลือง ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันมะเร็ง พร้อมทั้งมีวิตามินอี และกรดอะมิโน ที่ช่วยให้ผิวเรียบลื่น ยืดหยุ่นด้วย
8. วิตามินซี จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันและช่วยให้ร่างกายต่อสู้โรคภัยได้ วิตามินซียังเป็นกุญแจสำคัญให้ร่างกายสร้าง คอลลาเจน อันเป็นสารเคมีที่ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นและปราศจากรอยย่นอีกต่างหาก
9. โยเกิร์ต ก็เป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่มีแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี ทั้งยังมีแบคทีเรียช่วยระบบย่อยด้วย
10. ช็อกโกแลต อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ช็อกโกแลตเป็นหนึ่งในอาหารที่จะช่วยให้คงความงามไว้ได้ เพราะว่าในช็อกโกแลตมีสารที่กระตุ้นเอนโดร์ฟิน และเซโรโตนิน ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำให้มีอารมณ์ดี มีความสุข คนจะแลดูสวยได้ก็ต้องรู้สึกสวย รู้สึกดีเสียก่อน
| ||
|
ดังนั้น ในปี พ.ศ.2490 กระทรวงกลาโหมอันเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในด้านนี้โดยตรง จึงได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ทหารที่ กลับจากปฏิบัติการรบ และช่วยเหลือครอบครัวทหารที่เสียชีวิตในการรบ ต่อมากระทรวงกลาโหมได้เสนอพระราชบัญญัติจัดตั้ง องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ขึ้น โดยได้ผ่านการเห็นชอบจากรัฐบาล และได้มีการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2491 จึงได้ยึดเอาวันที่ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันทหารผ่านศึก
ในปี พ.ศ.2510 องค์การทหารผ่านศึกได้ปรับเปลี่ยนฐานะมาเป็นองค์การเพื่อการกุศลของรัฐ และเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงกลาโหมและเงินที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นครั้ง คราว
ภารกิจหลักขององค์การทหารผ่านศึก ภารกิจหลักขององค์การทหารผ่านศึก ได้แก่ การให้การสงเคราะห์แก่ทหารที่ผ่านการปฎิบัติการรบ และครอบครัวของทหารที่ปฏิบัติการรบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ประเภท คือ
1. การสงเคราะห์ทางด้านสวัสดิการ เป็นการให้การสงเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไป ที่อยู่อาศัย การศึกษา ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านอวัยวะเทียม
2. การสงเคราะห์ทางด้านอาชีพ โดยการฝึกอบรมและการฝึกอาชีพ ให้ความช่วยเหลือในทางด้านการทำงาน จัดหางานให้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3. การสงเคราะห์ด้านนิคมเกษตรกรรม จัดสรรที่ทำกินในด้านเกษตรกรรมให้ และให้ความช่วยเหลือทางด้านเครื่องมือและวิชาการ
4. การสงเคาระห์ด้านกองทุน โดยการจัดหาเงินทุนให้สมาชิกขององค์การทหารผ่านศึกได้กู้ยืมไปประกอบอาชีพ
5. การสงเคราะห์ด้านการรักษาพยาบาลให้แก่สมาชิก โดยไม่คิดมูลค่า
6. ให้มีการส่งเสริมสิทธิของทหารผ่านศึก โดยการขอสิทธิพิเศษในด้านต่างๆ ให้แก่ทหารผ่านศึก เช่น การขอลดค่าโดยสาร เป็นต้น