วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทะเลสาบดอยเต่า

เรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวทะเลสาบเหนือเขื่อนภูมิพล ณ ดินแดนที่อยู่ไกลโพ้นของจังหวัดเชียงใหม่





“ดอยเต่า” ถ้า ย้อนอดีตไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน หลายคนคงรู้จักวงดนตรี “นกแล “ วงดนตรีของเด็กๆชาวเขาจากอำเภอดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ที่โชว์ความสามารถจนโด่งดังทั่วประเทศมาแล้ว ดอยเต่าในเวลานั้นยังเป็นชุมชนของชาวเขาอพยพที่อยู่ห่างไกลสังคมเมือง การคมนาคมยังไม่สะดวก จะเรียกว่าเป็นถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลระดับต้นๆของจังหวัดเชียงใหม่ก็คงไม่ ผิดนัก

เมื่อราว 35 ปีก่อน หรือประมาณ พ.ศ. 2507 ปีที่สร้างเขื่อนภูมิพล ดอยเต่า
ถือเป็นแหล่งต้นน้ำของเขื่อน หรือถ้าเป็นถนนก็ต้องบอกว่า ดอยเต่าเป็นหลัก
กิโลเมตรหลักแรกของทะเลสาบเหนือเขื่อน และเป็นต้นน้ำของลำน้ำปิง โดยมี
หลักสุดท้ายอยู่ปลายสุดที่จังหวัดตาก

ชาวเขาซึ่งอาศัยอยู่ในที่ลุ่มของอ่างเก็บน้ำได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากอยู่
บนที่สูงเหนือเขื่อน ตามนโยบายของรัฐบาลเมื่อปี พ.ศ. 2510 ซึ่งขณะนั้นมี
อาชีพปลูกพืชผักสวนครัวตามเชิงเขาริมน้ำ

ต่อมาในระยะหลังๆราวปี 2542 เป็นต้นมา มีฝนตกชุกตามปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้น้ำในอ่างมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น จนท่วมบริเวณแปลง

เพาะปลูก การจับปลาในทะเลสาบจึงกลายเป็นอาชีพหลัก โดยมีร้านอาหารบนแพ และแพที่พัก เป็นธุรกิจ
ี่ที่ติดตามมาพร้อมๆกับการท่องเที่ยว

31 ธันวาคม 2543 เป็นวันที่ผมและญาติๆเดินทางมาเที่ยวดอยเต่า เหตุที่เลือกมาที่นี่ก็เพราะก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสลิ้มรส
ปลากรอบ ที่พี่สาวซื้อมาฝากจากเชียงใหม่ ซึ่งตอนนั้นยังแปลกใจเหมือนกันว่าทางภาคเหนือมีปลากรอบขายเป็นล่ำเป็นสัน เหมือนกับจังหวัดอื่น เช่นที่สิงห์บุรีด้วยหรือ

และหลังจากทานจนติดใจแล้ว ปลากรอบและดอยเต่า จึงเป็นเรื่องราวของบทสนทนาในคืนวันนั้น

”พี่ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว ครั้งแรกที่ไปถนนหนทางยังไม่ดี นั่งรถไปก็กินฝุ่นไปตลอดทาง อำเภอดอยเต่าอยู่ไกลมาก และใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะถึง ”

”แต่เดี๋ยวนี้ได้ยินว่า เป็นถนนลาดยางตลอดและเชื่อมต่อไปจนถึงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และมีทางแยกออกไปทางอำเภอลี้
จังหวัด ลำพูนได้”

ผมได้ยินคำว่าอำเภอลี้ในจังหวัดลำพูน มานานหลายปีทีเดียว รู้มาแต่เด็กแล้วว่าเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกล เหมือนเป็นดินแดนที่อยู่ลี้ลับ ต้องข้ามภูเขากันหลายลูกและทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะไปถึง แต่เดี๋ยวนี้ได้ตัดถนนใหม่ ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น และไม่นานมานี้ ก็ได้ยินจากพรรคพวกที่เคยผ่านไปเส้นนี้เล่าให้ฟังว่า ถ้าอยากเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของถนนสายเก่านี้ ก็ต้องขับรถจากเชียงใหม่ มาตามถนนสายจอมทอง ผ่านลี้ แล้วเข้าอำเภอเถินของจังหวัดลำปาง จากนั้นก็เข้าถนนสายเอเชียมุ่งลงใต้มายังกรุงเทพได้

”แล้วบรรยากาศแถวๆนั้นเป็นยังไงบ้าง” ผมถามต่อเพื่ออยากรู้ เผื่อจะได้ไปเที่ยวในช่วงปีใหม่
ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน

”พี่ไม่ได้ไปนานแล้วนะ แต่คนรู้จักที่เอาปลากรอบมาให้ เค้าบอกว่า แถวบริเวณนั้นเป็นแพริมน้ำเหมือนชนบท มีแพร้านอาหาร มีร้าน
ขายปลาแห้ง และปลาสดเป็นๆจากเขื่อน ร้านอาหารบนแพก็มีหลายร้าน ส่วนใหญ่ก็เป็นเมนูอาหารปลาจากทะเลสาบ และเดี๋ยวนี้มี แพที่พักให้นอนค้างกลางทะเลสาบได้ด้วย "

”น่าสนใจไม่น้อยกับการนอนแพ ในช่วงฤดูหนาวสิ้นปีนี้ “
ผมนึกมโนภาพไปว่า ที่ดอยเต่าอากาศคงหนาวเย็นเพราะอยู่บนดอย และตอนเช้าๆ
คงมีหมอกปกคลุมผิวน้ำจนขาวโพลน

จากนั้นจึงได้วางแผนและตกลงกับพี่สาวว่าจะมาเที่ยวดอยเต่ากันในวันสิ้นปี 2543
โดยจะขับรถจากกรุงเทพ แวะเชียงใหม่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นจึงค่อยมาดอยเต่า โดยให้
คนที่นั่นเป็นผู้ติดต่อจองแพให้ เพื่อความมั่นใจว่ามีที่พักแน่นอนในคืนวันสุดท้ายของปี

จากเชียงใหม่ใช้ระยะทางประมาณ 125 กม. ก็ถึงดอยเต่า แต่ต้องใช้เวลาเดินทาง
ค่อนข้างนาน เพราะรถติดในแถบชานเมืองที่มีหมู่บ้านจัดสรรผุดขึ้นมากมาย ต่างกับ
เมื่อ 4 ปีก่อนที่ยังมีสภาพเป็นสวนและยังคงสภาพแบบเดิมๆ

มาวันนี้แทบจำอดีตไม่ได้เลย ถนนสายเล็กๆ มีรถราไม่มากนัก ก็สร้างกันใหญ่โตไปจนถึงอำเภอจอมทอง เพื่อรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่มุ่งสู่ดอยอินทนนท์ ซึ่งเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี

ราวเที่ยงวัน ผมก็ขับรถมาถึงดอยเต่า แต่กว่าจะมาถึงได้ก็ต้องลงรถไปสอบถามชาวบ้านอยู่หลายครั้ง

ดอยเต่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแต่ไม่มีป้ายบอกทางให้ชัดเจน ปัญหาแบบนี้พบเห็นเป็นประจำเมื่อออกเที่ยวในต่างจังหวัด ทำให้รู้สึกว่าในแหล่งท่องเที่ยวแต่ละที่นั้น ยังต้องปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานกันอีกมาก หลายครั้งที่ขับรถไปตามป้ายบอกทางสู่สถานที่สำคัญแต่พอเลยลึกเข้าไป ป้ายก็หายไปซะดื้อๆ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวต้องเดาสุ่มกันเอาเอง เป็นเรื่องน่าเบื่อและน่ารำคาญมาก

เมื่อขับรถพ้นชุมชนที่เป็นอำเภอเล็กๆ จากนั้นก็เป็นถนนขึ้นเนินเขา และไม่ไกลนักก็ถึงทะเลสาบดอยเต่า

”ไม่น่าเชื่อว่าดินแดนที่เป็นป่าเขาบนที่สูง จะมีทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่โต มันผิดคาดเอามากๆเลยทีเดียว “
ผมรู้สึกแปลกใจกับทะเลสาบที่มีภูเขาโอบล้อมอยู่เบื้องหน้า ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับมาเที่ยวทะเลที่เห็นท้องน้ำเป็นสีครามเข้ม
จะต่างกันตรงที่ไม่มีชายหาดสีขาวและไม่มีคลื่นลมเท่านั้นเอง

แพไม้ไผ่จอดเรียงรายอยู่ริมน้ำ เป็นภาพที่น่าตื่นตาไม่น้อย คล้ายกับหมู่บ้านเรือนแพแบบดั่งเดิม ทั้งแพและเรือหางยาวจอดเรียงต่อ
เนื่องกันอยู่ริมตลิ่งที่มองเห็นน้ำใสสะอาดอยู่เบื้องล่าง แต่อนาคตยังจะเห็นเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า เป็นเรื่องที่ยากจะเดา

” ที่ใดมีนักท่องเที่ยวที่นั้นย่อมมีสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม “
ประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมสำหรับบ้านเรา ที่ต่างคนต่างรุมทึ้ง หาประโยชน์จากสถานที่ท่องเที่ยวจนย่อยยับมานักต่อนักแล้ว
โดยเฉพาะเจ้าของสถานที่ ที่มักเอาอกเอาใจนักท่องเที่ยว สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อหวังผลทางการค้า แต่ทำไปทำมากลายเป็นทำร้ายตัวเอง และทำลายสภาพธรรมชาติแบบเดิมๆ อันเป็นเสน่ห์ของสถานที่นั้นๆ

ทางเดียวที่จะหยุดยั้งได้ก็คือจิตสำนึกและความเข้าใจในการอนุรักษ์ที่แท้จริง

ผมถือโอกาสออกไปเดินหามุมถ่ายภาพ ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนเอาเรื่องในตอน
เที่ยงๆแบบนี่ ขณะที่พี่สาวกำลังรอคอยคนดอยเต่าที่ติดต่อเรื่องแพ

เดินเก็บภาพไปได้หลายภาพในสภาพแสงที่ต้องใช้ ฟิลเตอร์ Polarizing (PL)
กันตลอด เพื่อให้ภาพใส มีน้ำหนักมีสีสันมากขึ้น เมฆขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
จึงเห็นชัดเจนขึ้นตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม หลังจากใช้ PL

มื้อเที่ยงพวกเราก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารที่นี่ แต่กว่าจะยกมาเสิร์ฟได้ต้อง
บอกว่า “โคตรช้าเอามากๆ”



”ยำปลากรอบ” จานแรกที่สั่ง เป็นปลาเนื้ออ่อนขนาดราว 4 นิ้ว ทอดกรอบแล้วนำมาคลุกกับเครื่องปรุง ซึ่งได้แก่หอมใหญ่ มะม่วงซอย ใบคื่นฉ่าย มะเขือเทศ กับพริกขี้หนูตำ ปรุงออก 3 รส เปรี้ยว หวาน เค็ม กำลังกลมกล่อมพอดี แต่วางให้เห็นหน้าตาได้ไม่นานก็เหลือแต่จานว่างเปล่า สิ่งที่ตั้งใจจะมาทานปลาให้อร่อย ก็เป็นอันว่าลงท้องไปเรียบร้อยสมใจอยาก จานนี้ถ้าจะให้คะแนนก็เอาไปเลย 5 ดาว

จาก นั้นอาหารประเภทปลาต่างๆ ก็ทยอยกันมา ปลาเนื้ออ่อนตัวใหญ่ทอดกระเทียม ต้มยำปลาหม้อไฟ ฉู่ฉี่ปลา ในที่สุดปลานานาชนิดจากทะเลสาบ ก็ลงไปอยู่ในท้องกันทุกคนด้วยความหิว ทั้งๆที่เมื่อเช้านี้ก็ล่อข้าวเหนียวกับอาหารพื้นเมืองเหนือกันมาเต็มท้อง

เรานั่งคอยแพที่จองไว้กันอยู่พักใหญ่ และนานจนผิดสังเกต กระทั่งเจ้าของแพมาบอกว่า

“พี่ๆ….เดี๋ยวรอให้เค้าเสร็จก่อน ผมจะเคลียร์แพให้ ลำที่อยู่ข้างๆนี้แหละ”

ผมคะเนดูแล้วคงอีกนานแน่ เพราะลูกค้านักท่องเที่ยวยังนั่งดวดเหล้าอยู่บนแพ โดยไม่มีทีท่าว่าจะจบง่าย เนื้อย่างเกาหลียังเห็นอยู่เต็มเตา ส่งทั้งกลิ่นทั้งควันโชยไปไกล

ผมเดินออกไปหาซื้ออาหารเพื่อเตรียมสำหรับมื้อเย็นและมื้อเช้า ซึ่งยังพอมีเวลาหาซื้อได้บ้าง ได้ปลากรอบมาถุงใหญ่ในราคาที่ถูกมากๆ และได้ปลาสดตัวใหญ่หนักราวกิโลเศษๆมาตัวหนึ่ง ลักษณะออกสีดำ คนขายบอกว่าเหมาะสำหรับทำต้มยำ แต่ถ้าจะเผากินก็อร่อย

“ตอนนี้ขึ้นแพได้เลยครับ เคลียร์แพเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะออกเลย”
เจ้าของแพเห็นผมหายไปนานเลยเที่ยวตามหา

“ ตอนเย็นๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร เรามีเรือบริการรับส่งฟรีๆ ขาดเหลืออะไรก็บอกได้ “
็คงเห็นผมหิ้วโน่นหิ้วนี่มาพะรุงพะรังมามาก

ก็ คิดว่าเข้าท่าดี ที่มีบริการส่งอาหารจนถึงแพในราคาเดียวกับเมนู เป็นอันว่าของที่จะซื้อเพิ่มเติมก็ต้องเบรคไว้ก่อน ก่อนออกเรือก็ซื้อน้ำขวดมาแพคใหญ่ และได้น้ำแข็งเต็มกล่องโฟมใบเล็กๆที่เตรียมมาด้วย

“เตาปิ้ง เตาย่างและถ้วยโถโอชามละ มีรึเปล่า “
ผมไม่ค่อยแน่ใจเลยต้องถามเจ้าของแพกันก่อน ซึ่งความจริงผมก็เตรียมมาบ้างแล้วในบางส่วน
“ตอนเย็นๆจะมีเรือไปบริการส่งให้ถึงแพเลยครับ เครื่องครัวเรามีให้ทุกอย่าง ที่ปิ้งที่ย่างพร้อมเตาแก็ส...” เจ้าของแพสำทับให้มั่นใจขึ้น

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ออกเรือได้

คนขับเรือหางยาวเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กอายุไม่เกิน 14 ปี ถ้าเรียนหนังสือก็คงราวๆชั้น ม.2 แม้จะดูเป็นเด็กแต่ก็เก่งเกินตัว
ทะมัดทะแมงพอไว้เนื้อเชื่อใจได้เลยทีเดียว ยังนึกในใจว่าเป็นคนไทยหรือเป็นชาวเขากันแน่เพราะพูดไทยชัดถ้อยชัดคำ แต่ยังไงก็คงหนีไม่พ้นลูกหลานดอยเต่าแถวนี้แหละ

แพ ได้เคลื่อนตัวช้าๆตามเรือหางยาวที่โยงเชือกลากจูงพาออกสู่กลางทะเลสาบ ภาพหมู่แพที่แออัดกันริมตลิ่งเมื่อกี้นี้ก็ค่อยๆทิ้งห่างออกไปทุกขณะ เสียงเพลงจากร้านอาหารบางร้านที่เปิดดังลั่น ก็ค่อยๆแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนแพของเรามาอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลสาบ มองไปรอบตัวก็เห็นแต่ความเวิ้งว้าง

“เราจะอยู่กันกลางน้ำตลอดทั้งคืนเลยนะนี่”
เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างจะดูแปลกไม่น้อยกับสภาพที่มีแต่น้ำรอบตัว และต้องอยู่กันข้ามวันข้ามคืน

ตอนนั้นราวบ่าย 3 โมงเย็น ทุกคนเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพหลังจากที่นั่งคุยกันพักใหญ่ หาหนังสืออ่านฆ่าเวลาบ้าง เปิดวิทยุเทป
จากเครื่องเล็กๆแบบพกพาบ้าง ซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป

ผม นั่งเอกเขนกชมวิวอยู่นาน ก็เหลือบเห็นสายเบ็ดเก่าๆอยู่หัวแพ จึงนำมาแกะเพื่อใช้ประโยชน์ในยามว่าง และก็ได้ใช้จริงๆ มีปลาตัวเล็กๆติดเบ็ดมาบ้างพอให้ตื่นเต้นกันชั่วครั้งชั่วคราว ความจริงที่นี่ก็มีปลาเยอะและเป็นแหล่งปลาที่อุดมสมบูรณ์ แต่พวกเราไม่ใช่นักตกปลาและไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้เลย จึงไม่ได้นึกถึง หากคนที่ชอบตกปลามาเห็นสภาพนี้แล้วก็คงไม่ผิดหวังแน่ และคงได้ปลามาทำอาหารกันแบบสดๆ

ไม่นานพระอาทิตย์เริ่มทอดแสงลงมาจนส่องถึงกลางลำเรือ จึงต้องขยับตัวหลบหนีไปทางอื่น หลบไปหลบมาก็โดนแดดอีกจนได้
เพราะเรือมันหมุนไปตามแรงลมและกระแสน้ำ จนขยับเข้ามาใกล้แพที่อยู่ข้างเคียงซึ่งห่างกันไม่เกิน 70 เมตร และก็ต้องทนฟัง
เครื่องขยายเสียงที่เปิดดิ้นกันอย่างไม่เกรงใจใคร เลยอดไม่ได้ที่จะขอเอากล้องส่องทางไกลมาดูหน้าดูตากันหน่อย

“เวรกรรม” มีวัยขาโจ๋ ชักดิ้นชักงออยู่หน้าลำโพงตัวใหญ่ 3-4 คน ที่เหลือก็เห็นนั่งๆนอนๆและเป็นวัยกลางคนด้วยกันทั้งนั้น แถมมี
คุณยายนุ่งผ้าซิ่นสีเขียวนั่งปล่อยอารมณ์ที่ข้างแพอยู่ด้วย ก็แปลกดีที่ไม่เห็นมีผู้ใหญ่คนไหนรำคาญ สงสัยจะยอมให้ลูกๆหลานๆมา
ปล่อยผีปล่อยเปรตกันวันสิ้นปี มันก็เลยดิ้นกันมันส์หยด

“เออ…ขอให้แพมันแตกซะทีเถ๊อะ….จะสมน้ำหน้ามัน….” เป็นเสียงบ่นมาจากบนแพ ซึ่งคงแค้นเหลือทน

เหล้าบางๆ โดยไม่ต้องมีกับแกล้มอื่นให้ยุ่งยาก สร้างความเอร็ดอร่อยให้กับอารมณ์ในยามแดดร่มลมตกได้ดีทีเดียว

อาจเป็นความฝันของหลายๆคนที่อยากได้บรรยากาศดีๆ สงบๆ กับคนรู้ใจ ที่พากันมานั่งทอดอารมณ์ หาความสุขกันแบบสองต่อสองโดยปราศจากการรบกวนด้วยสายตาจากบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ ที่นี่บรรยากาศดี เงียบ สงบ และปลอดภัย (ขอบอก)

ตกเย็นพวกเราก็เริ่มเตรียมอาหาร เพราะดูทีท่าแล้วทางเจ้าของแพคงปล่อยเกาะ
เราแน่ จนป่านนี้ก็ไม่มีวีแววว่าจะมาสักที ไหนจะเรื่องอาหารและอุปกรณ์ทำกับ
ข้าวที่ยังขาดอยู่ และยังมีเรื่องไฟฟ้าแสงสว่างที่ยังเปิดไฟไม่ได้ เพราะขาดแบต
เตอร์รี่ เวลานั้นจึงต้องอาศัยไฟฉายที่พกกันมาเองแก้ขัดไปพลางก่อน

พวกเราตกลงกันว่าคงต้องเตรียมอาหารกัน เพราะสถานการณ์เริ่มมีความไม่
แน่นอน จากนั้นก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ อันดับแรกคือปลาเผาต้องจัดการก่อน
เพราะตัวใหญ่มากและคงใช้เวลานาน



ปลากรอบก็นำมาอังไฟให้หอม แล้วแกะเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อเตรียมทำยำ ซึ่งยังติดใจไม่หายในมื้อกลางวัน ส่วนเครื่องปรุงก็เตรียมกันมา ไม่มีขาด ทั้งของสดของแห้ง ไม่ว่า มะนาว พริก หอม กระเทียม หรือซ้อสปรุงรสพวก ซีอิ้ว น้ำปลา และอื่นๆ ซื้อมาแบบขวดเล็กๆ จะได้ไม่หนักรถ

พวกเราสนุกกับการช่วยกันทำอาหารโดยไม่ต้องง้อเจ้าของแพ โชคดีที่มีเตาแก็สแบบใช้แก๊สกระป๋อง จึงสะดวกและวางใจได้เลยว่า
เพียงแค่กระป๋องเดียวก็สามารถทำอาหารได้หลายมื้อ ซึ่งพิสูจน์มาหลายครั้ง แล้วว่าเจ้าตัวเล็กนี้แหละไฟร้อนไฟแรงเหลือกินจริงๆ

โดยปกติการเดินทางท่องเที่ยวในลักษณะต้องช่วยตัวเองแบบนี้ ก็มักจะตระเตรียมสิ่งจำเป็นยัดลงกล่องไว้ท้ายรถ ไม่ว่าจะเป็นจาน
ช้อน ซ่อม มีด เขียงใบเล็ก ตะแกรงย่าง กรรไกรอเนกประสงค์ที่ทำได้สารพัดประโยชน์ ครั้งนี้ก็เหมือนกันได้เตรียมมาแบบฉบับย่อเป็นชุดเล็ก แต่ทุกอย่างถูกใช้อย่างคุ้มค่ากับการที่ต้องขนกันมา เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกและออกรสชาติ บางครั้งก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่นจานข้าวไม่พอ ก็ต้องนำกระดาษฟอยส์มาดัดแปลงทำเป็นรูปจานหรือถ้วย ซึ่งใช้ได้ดีไม่มีปัญหา และดีกว่าจานกระดาษหรือโฟม ด้วยซ้ำไปเพราะสามารถทานอาหารประเภทน้ำแกงได้และปลอดภัยกว่า

ขณะกำลังช่วยกันทำอาหาร ผมก็ต้องปลีกตัวไปถ่ายภาพต่อ เพื่อหาวิวสวยๆในยามเย็น จนดูแล้วว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วจึงเก็บ
กล้องและอุปกรณ์

ขณะกำลังสาละวนเก็บของอยู่นั้น ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ข้างหลัง

ท้องฟ้า…โอ สวยจัง เหมือนปุยนุ่นเป็นหย่อมๆ มีแสงสีทองลอดผ่านกลุ่มเมฆเหล่านั้น มันแปลกและสวยมาก กลุ่มเมฆค่อยๆแยก
จากกันออกเป็นปุยเล็กๆจนเต็มท้องฟ้า สวยขึ้น สวยขึ้น ทุกขณะ

ผมรีบจัดแจงตั้งขาตั้งกล้องทันทีด้วยความดีใจและรีบเร่ง เพราะกลัวจะถ่ายไม่ทัน เพราะขณะนั้นแสงค่อนข้างน้อยจนต้องหันมาพึ่ง
ขาตั้งกล้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพ

ผมหยิบกล้องที่ถ่ายฟิล์มสี ISO 100 ใส่ขาตั้งก่อน เมื่อวัดแสงเฉลี่ยแล้วได้ 1/30 วิ. โดยเปิดหน้ากล้องกว้างสุด ถือว่าคาบเส้นพอดี

เอาละ...ยังไงต้องกดชัตเตอร์ภาพแรกให้ได้ก่อนในช่วงนาทีทอง จากนั้นกล้องสองตัว ฟิล์มสี และฟิล์มสไลด์ Velvia ISO 50
ก็ทำงานสลับไปมา โดยบางภาพได้สวมฟิลเตอร์ PL เข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับกลุ่มเมฆ

ครั้งนี้เป็นการถ่ายภาพที่ออกจะตื่นเต้น ดีใจ พอใจไม่น้อย เพราะแสงน้อยมากจนยากที่ถ่ายได้ในขณะที่อยู่บนแพ เพราะยังไม่นิ่งพอ
ภาพจากท้องฟ้าในเย็นวันนี้ ถือเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบที่อยากพบอยากเห็นมานานแล้ว ไม่ง่ายนักที่จะพบกับภาพสวยๆแบบนี้
ในขณะที่มีกล้องถ่ายภาพอยู่ในมือ

"ดอยเต่า" เพียงภาพชุดนี้ชุดเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนแล้ว



ผมเก็บกล้องและอุปกรณ์หลังจากที่ท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว บรรดาญาติๆต่างกำลังง่วนอยู่กับปลาเผาและตระเตรียมอาหารมื้อเย็น
โดยไม่มีใครสนใจภาพที่ปรากฏบนท้องฟ้า

ปลาสุกแล้ว กลิ่นหอมฉุยเลย ยังไงก็ต้องสุกแน่นอนเพราะพลิกไปมาอยู่หลายครั้ง น้ำจิ้มปลาก็ทำแบบง่ายๆ เอาพริก เอากระเทียม
มาซอยให้ย่อยแล้วบี้ๆกับช้อนพอแหลกในแก้วกาแฟ บีบมะนาว เติมน้ำปลา น้ำตาล อีกหน่อย ก็เป็นอันจบ งานนี้ผมขอปรุงเอง
เพราะค่อนข้างจะถนัดอยู่แล้ว ได้น้ำจิ้มมาค่อนแก้วกาแฟรับรองพอแน่ๆกับปลาตัวโตขนาดกิโลกว่า จากนั้นก็ทำพิธีเปิดบริสุทธิ์กับ
ปลาเผาที่นั่งลุ้นกันนานนับชั่วโมง และเป็นการแกะปลาออกจากกระดาษฟอยส์ที่ออกจะดูตื่นเต้นกว่าการกินปลาทุกครั้ง
ทุกคนต่างเฝ้ามองกับอาหารจานโปรดที่ถือเป็นพระเอกของมื้อนี้ ต่างหยิบช้อนซ่อมและเตรียมบรรเลงพร้อมกัน

โอ้โฮ…เนื้อเหลืองอ๋อยอล่องฉ่องและสุกทั่วทั้งตัว จากนั้นพวกเราก็ลงมือพร้อมกันอย่างเอร็ดอร่อย

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลิ้มรสปลาเผาตัวใหญ่จากทะเลสาบดอยเต่า เป็นปลาที่ไม่เคยทานมาก่อน เนื้อยุ่ย นุ่มๆ แต่ก็อร่อยมาก
ยิ่งมาได้กับน้ำจิ้มรสจัดจ้านที่ปรุงสุดฝีมือด้วยแล้ว เห็นที่คงไม่ต้องบรรยายกันมาก

นั่งทานกันไปคุยกันไปอยู่เพลินๆเจ้าเด็กดอยเต่าคนขับเรือ 2 คนเดิม ก็แล่นเรือมาเทียบข้างแพแบบเงียบ ท่ามกลางความมืด ยกลำโพง ตัวใหญ่ขึ้นมาจากเรือ พร้อมกับแบตเตอร์รี่ลูกใหญ่ที่ใช้กับพวกรถสิบล้อ เพื่อใช้เป็นไฟส่องสว่างกับหลอดนีออนที่มีอยู่ดวงเดียว และใช้เป็นพลังงานของชุดเครื่องเสียง จากนั้นก็ยกเครื่องครัวชุดใหญ่ตามมา และเป็นชุดใหญ่กันจริงๆ กะทะใบเบ่อเร่อ ตะหลิ๋วด้ามไม้ อันใหญ่ หม้อไห ถ้วยจาน ก็ใบใหญ่ชนิดที่ไม่ค่อยเห็นกันบ่อยนัก แต่ทั้งหมดก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับมื้อนี้แล้ว

ก่อนจากไปก็ต้องโดนต่อว่าต่อขานกันหน่อยที่บริการไม่เอาไหน กว่าจะมาได้ก็ค่ำมืด สู้แพอื่นไม่ได้ที่มีเรือวิ่งบริการตลอดเวลา

คืนนั้นผมก็ตักน้ำอาบกันข้างแพนั้นแหละ แค่ขันแรกที่ตักรดตัวก็หนาวสั่นเอาเรื่อง น้ำไม่ได้เย็นมากหรอกแต่ลมนี่ซิ
พัดเย็นจนหนาวสะท้าน คนอื่นเห็นผมออกอาการจึงไม่มีใครยอมอาบ เลยถือโอกาสซักแห้งไปอีกวัน

ค่ำคืนนี้พวกเรานอนหลับกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย มีแสงจันทร์ส่องสะท้อนน้ำพลิ้วไหวเป็นประกายระยิบระยับ
หากจะเปรียบเทียบกับเมื่อ 2 คืนก่อนที่อยู่กรุงเทพมันคงแตกต่างอย่างสิ้นเชิง การปลีกตัวจากเมืองหลวงที่ดูสับสนมานอนดูพระจันทร์ อันสุกใสกลางทะเลสาบ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับแสงระยิบระยับที่สบายตา เหมือนนั่งฟังดนตรีซิมโฟนี่วงใหญ่ ที่เห็นเครื่อง ดนตรีแต่ละชิ้นกำลังบรรเลงบทเพลงอันแสนไพเราะและลึกซึ้งกินใจ

ดูเป็นค่ำคืนที่ให้ความรู้สึกดีๆกับตัวเองไม่น้อย และใครก็ตามที่มีโอกาสพาตัวเองมาอยู่ในสถานที่เป็นธรรมชาติและดูสงบแบบนี้
ี้ ก็เชื่อว่า คงได้ซึมซับสิ่งดีๆกลับไป อย่างน้อยก็เป็นการผ่อนคลายจิตใจจากชีวิตประจำวัน ที่จะหาโอกาสเช่นนี้ได้ยากเต็มที

ผม ตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงพลุและประทัดกลางดึก ก็เป็นการจุดเอาฤกษ์ต้อนรับปีใหม่จากแพลำอื่น ได้ยินเสียงวิทยุ จากสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยที่พี่สาวเปิดเสียงเบาๆไว้ทั้งคืน ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดจาดวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เสียงพระสวดสลับกับเสียงโฆษกที่นับ ถอยหลังบอกเวลาเป็นช่วงๆเมื่อใกล้จะถึงเวลาเที่ยงคืน จนกระทั่งเวลา 24.00 น.หรือเที่ยงคืนพอดี ก็มีเสียงเคาะระฆังวัดดังกังวาน พร้อมกับการอวยพรสวัสดีปีใหม่ 2544 จากโฆษกที่ได้ยินเสียงคุ้นหูเป็นประจำ จากนั้นก็ได้ยินเสียงจุดประทัด จุดพลุ จากแพบางลำใน ทะเลสาบ รวมทั้งได้ยินทั้งเสียงปืนและประทัดจากหมู่บ้านที่อยู่บนฝัง

“สวัสดีปีใหม่ทุกๆคนครับ" เสียงตะโกนจากแพที่อยู่ใกล้กัน ที่ผมด่าเช็ดไปเมื่อเย็นวานนี้ ตะโกนดังมาเป็นระยะๆ ตอนเช้ามืดราวตีห้า เดาเอาว่าคงไม่หลับไม่นอนกันทั้งคืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น