“ ผมไม่เคยไปเมืองน่าน ”
ไม่ เคยไปจริงๆครับ ขับรถเฉียดไปเฉียดมาอยู่ 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่เคยแวะเข้าเขตเมืองน่านกันสักที หลายครั้งที่อยากไปเห็นหน้าตาเมืองน่าน หรือเพียงแค่ขับผ่านตัวจังหวัดก็ยังดี แต่ก็อีกนั่นแหละมันหาเหตุเข้าเมืองน่านไม่ได้สักที เหมือนกับว่าดวงไม่ค่อยสมพงษ์กัน ครั้งล่าสุดที่ผมเดินทางไปภาคเหนือโดยรถส่วนตัวในเทศกาลสงกรานต์เมื่อเดือน เมษายน 2548 ที่ผ่านมา จึงตั้งใจว่าตอนขากลับจะมานอนที่น่านสักคืนก่อนเดินทางเข้ากรุงเทพ
มา เที่ยวเมืองน่านคราวนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวที่ไหน เพราะมีเวลาน้อย อยากมาชิมลางมากกว่า หลังจากสอบถามคร่าวๆจากญาติที่เคยมาเที่ยว ถึงเส้นทาง ที่พัก และสถานท่องเที่ยวในตัวเมือง จากนั้นก็ออกเดินทาง
เริ่ม ต้นที่ลำปาง(แวะถ่ายภาพสถานีรถไฟก่อน) จากนั้นเข้าเมืองแพร่ โดยแวะนมัสการวัดพระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นวัดคู่เมืองแพร่ออกจากวัดก็เดินทางต่อมายัง จ.น่าน ตามทางหลวงหมายเลข 101 (วัดพระธาตุช่อแฮจะมีภาพสวยๆมาให้ชมในโอกาสต่อไป)
เรื่องราวส่วนใหญ่ที่รู้ๆมาก็เป็นเรื่องที่จดจำมาแต่อดีต อาจนานมาแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในความทรงจำ เช่น น่าน เป็นจังหวัดเล็กๆ เป็นเมืองไม้สัก การเดินทางต้องข้ามเขาที่มีป่าไม้หนาแน่นตลอดสองข้างทาง มีพื้นที่ติดชายแดนประเทศลาว ตามแนวชายแดนก็ประกอบไปด้วยชาวเขาหลายเผ่า ซึ่งอดีตก็เคยเป็นหอกข้างแคร่ของรัฐบาล ที่ถูกชักนำให้หันมาฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ ชายแดนน่านรวมทั้งพื้นที่บนเขา จึงกลายเป็นแดนก่อการร้าย มีการสู้รบรุนแรง และถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีแดง
น่าน หากนับถอยหลังไปในช่วงระหว่างปี 2510 – 2524 จะมีแต่ข่าวการสู้รบกันเป็นประจำ จนดูเหมือนจะกลบภาพลักษณ์ที่ดีๆของเมืองน่านไปจนหมดสิ้น บางจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงเมืองน่านเช่นจังหวัดแพร่ ลำปาง เชียงราย ก็หวั่นวิตกว่าหากทหารปราบไม่อยู่ แน่นอนว่าเมืองแพร่และจังหวัดอื่นๆที่อยู่ถัดๆมาคงต้องรับศึกหนัก น่านจึงเหมือน เป็นเมืองหน้าด่าน ทำหน้าที่เป็นกำแพงไม่ให้ฝ่ายผู้ก่อการร้ายล่วงล้ำอธิปไตย ซึ่งขณะนั้นประเทศต่างที่อยู่ใกล้เคียงกับประเทศไทย เช่น เวียดนาม พม่า ลาวกัมพูชา ก็กลายเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ไปหมดแล้ว
ใน ช่วงเวลาที่เนินนานถึง 14 ปี จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมือนเมืองน่านต้องถูกปิดประตูเมืองชั่วคราว ถนนหลายสายระหว่างอำเภอต่างๆในจังหวัดน่านไม่ค่อยปลอดภัยนัก หากไม่จำเป็นก็จะไม่มีใครกล้าผ่าน ไม่ต่างกับเส้นทางระหว่าง พิษณุโลก – เพชรบูรณ์หรือในพื้นที่ในเขต อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ที่บริเวณนั้นถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สีแดง มีการปะทะกันไม่เว้นแต่ละวัน ผู้สัญจรผ่านเส้นทางนั้นอาจโดนลูกหลงจากการต่อสู้ ในยามค่ำคืนแล้วก็จะกลายเป็นถนนร้างที่ไร้ยวดยาน
” ยุทธการทุ่งช้าง ”
เทือกเขาตามแนวชายแดนน่าน เป็นยุทธภูมิที่เหมาะสำหรับเป็นฐานตั้งมั่นด้านการรบ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามพยายามยึดชัยภูมิสำคัญให้ได้ มีการปะทะและนองเลือดกันทั้งสองฝ่าย จนมาถึงแผนการรบที่มีชื่อว่า “ ยุทธการทุ่งช้าง “ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นแผนการรบขั้นเด็ดขาด มีสมรภูมิรบอยู่ในพื้นที่ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน และน่าจะเป็นการรบที่เอาชนะผู้ก่อการร้ายได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ในยุคที่มีพลเอกเปรม ติณสุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ตามนโยบายของรัฐบาลที่ 66/23 ที่มีการนำแผนนี้ไปใช้ในทุกพื้นที่ของประเทศรวมทั้งที่สมรภูมิเขาค้อด้วย
ร้อย กว่านายที่ทหารไทยและพลเรือนได้เสียชีวิตในยุทธการทุ่งช้าง และจากเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2510 จนเสร็จสิ้นสงครามการสู้รบในปี 2524 ฝ่ายรัฐบาลโดยทหาร ตำรวจ และพลเรือน เสียชีวิตไปทั้งสิ้นถึง 628 นาย
อนุสรณ์ สถานของบรรดาผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ อยู่ที่ อ.ทุ่งช้าง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน มีชื่อว่า "อนุสรณ์วีรกรรม" สร้างไว้เป็นเครื่องเตือนใจให้คนรุ่นหลังได้ทราบความเป็นไปในช่วงเวลานั้น ที่ไทยต้องต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายจากภายนอก และผู้ก่อการร้ายคนไทยที่ถูกชักจุงให้หลงผิด
ใน ที่สุดการแผ่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ประสบความล้มเหลว และปราชัยไปในที่สุด เป็นการสิ้นสุดของสงครามเย็น ที่มีผู้คนล้มตายไปหลายสิบล้านคน เฉพาะที่ประเทศจีน กล่าวกันกว่าสูงถึง 40 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะความอดหยาก
จากการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เป็นระบอบสังคมนิยม โดยมีนายพลเหม๋าเจ่อตุงเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งในช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของประเทศที่ปกครองในระบอบทุนนิยม
ทั้งหมด ที่เขียนเล่ามานี้ก็เพื่อให้หลายๆคนได้ตระหนักถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกิด ขึ้นในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เมืองน่านไม่เติบโตเท่าที่ควรเหมือนเช่น จังหวัดอื่นๆทางภาคเหนือ เพราะสิบกว่าปีที่น่านต้องตกอยู่ในภาวะสงครามสู้รบไม่มีใครอยากเข้าไปใน พื้นที่เสี่ยงอันตราย แม้ผู้คนเมืองน่านอาจเห็นว่าไม่มีอะไรรุนแรง แต่ข่าวการสู้รบที่มีอย่างต่อเนื่องจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นเดียวกับ 3 จังหวัดภาคใต้ในปัจจุบัน ที่คนท้องถิ่นเองบอกว่ามันรุนแรงเป็นบางจุด แต่เหตุการณ์ที่เป็นข่าวทำให้เข้าใจว่ามันกระจายไปทั่วทั้งพื้นที่ เหตุการณ์ภาคใต้ขณะนี้ น่าจะบอกได้ค่อนข้างแน่นอนว่า ยะลา ปัตตานี และนราธิวาสกำลังจะกลายเป็นจังหวัดที่เติบโตช้ากว่าจังหวัดอื่นๆในภาคใต้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครกล้าไปลงทุนทำธุรกิจ ไม่มีใครกล้าไปเที่ยว และที่สำคัญกว่านั้นคนในพื้นที่เองต่างก็หาทางอพยพออกจากพื้นที่เพราะเกรง ว่าไม่ปลอดภัย
เมษายน 2548 ผมตั้งใจจะไปเที่ยวเมืองน่าน เพียง อยากไปเห็นว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้าง แม้จะได้ยินมาว่าไม่ต่างกับจังหวัดแพร่ที่มีเขตติดต่อกันเท่าใดนัก
เส้น ทางจากแพร่สู่น่าน เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านป่าเขา โดยเฉพาะป่าสักนั้นมีพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง และพื้นที่ส่วนหนึ่งนั้นอาจต้องสูญไป อันเนื่องจากโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ที่เราเคยได้ยินคุ้นหูกันมาเป็นเวลานาน โครงการนี้เริ่มตั้งแต่ ปี 2514 ยุคถนอมประภาส จนถึงวันนี้ ฝ่ายจะสร้างกับฝ่ายต่อต้านยังทะเลาะกันไม่จบ และยังสรุปไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไร หากมีการสร้างกันจริงก็ต้องถือว่าเป็นโปรเจค 7 ชั่วโคตร ที่เมืองไทยต้องจากจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ต่อจากการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินหนองงูเห่าเดิม
ผมขับรถถึงเมือง น่านราว 4 โมงเย็นของวันที่ 18 เมษายน 2548 หลังจากที่ผ่านป่าเขามาไกลพอสมควร เห็นป่าสักเต็มตาสองข้างทาง และเป็นเส้นทางที่สวยงามเส้นทางหนึ่งของภาคเหนือ ทางหลวงหมายเลข 101 ราบเรียบไม่มีร่องรอยปะผุให้น่ารำคาญทำให้การขับรถบนถนนสายนี้ค่อนข้าง ปลอดภัย ตลอดระยะทางมีรถใหม่ป้ายแดงวิ่งฉวัดเฉวียนไปบนเขาอย่างน่าเป็นห่วงว่าจะพลิก ตีลังกาลงข้างทาง โดยเฉพาะเก๋ง TOYOTA VIOS ต้องบอกว่าเป็นรถใหม่ยอดนิยมที่พบเห็นมากที่สุดบนถนนสายนี้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น