วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จังหวัดตรัง


“จังหวัดตรัง”


เป็นจังหวัดที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นเคยมากนัก อย่างมากก็เพียงแค่ขับรถผ่าน เพื่อเดินทางต่อไปยังจังหวัดอื่น แวะทานข้าวกลางวัน ซดกาแฟโบราณแบบไทยแท้ และซื้อของฝาก “เค็กเมืองตรัง” ติดมือไปฝากบรรดาญาติๆเท่านั้นเอง หมูย่างที่ได้ยินว่าอร่อยนัก อร่อยหนา ก็ไม่เคยได้ลิ้มลอง พราะไปทีไรเห็นเก็บร้านปิดประตูกันหมดแล้วทุกที

จำได้ว่าเคยแวะผ่านเข้าไปในเมืองตรังอยู่ 2- 3 ครั้ง ก็ไม่เคยเห็นร้านหมูย่างเลยแม้แต่ ครั้งเดียว ขนาดขับรถไปตามทางที่คนแถวนั้นแนะนำ ก็เจอแต่ร้านที่ปิดประตูเงียบสนิท



เก็กซิมจริงๆ..... สงสัยจะดวงไม่ดีเลยไม่มีโอกาสกินหมูติดมัน (ดี จะได้ไม่อ้วน)

แต่มารู้ภายหลังว่า ถ้าจะทานหมูย่างเมืองตรังแล้วต้องมาตอนเช้าๆ เพราะคนที่นี่ เค้าจะทานกันเป็นอาหารเช้า ฟังแบบนี้แล้ว นักท่องเที่ยวที่ผ่านมา ในช่วงเวลาอื่นเป็นอันว่าหมดสิทธิ์แน่ๆ


เดือน เมษายน 2542 ผมมีโอกาสลาพักร้อนได้ยาวนาน เพื่อเดินทางมาเที่ยวภาคใต้กับครอบครัว หลังจากอัดอั้นมาจากยุค IMF ซะจนย่ำแย่ตามๆ กัน คราวนี้ได้วางแผนเที่ยวทะเลตรัง ตามที่ได้ยินคำร่ำลือจากปากของเพื่อนๆหลายคนที่เคยไปมาแล้ว บอกว่าสวยมาก โดยเฉพาะ “ถ้ำมรกต” อีก ทั้งได้เล่าถึงการผจญภัยเสี่ยงชีวิตว่ายน้ำเข้าถ้ำในยามน้ำขึ้นท่ามกลาง คลื่นและพายุฝนกันอย่างสนุกสนาน ทั้งๆที่ตัวเองเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดกลับมา ยังยุให้ผมให้ไปถ่ายรูปในถ้ำนั้นมาให้ได้ บอกว่าในถ้ำมรกตสวยและแปลกกว่าที่อื่นๆ

ผมออกเดินทางโดยรถส่วนตัวในวันก่อนสงกรานต์ราว 4-5 วัน ตั้งใจจะหนีผู้คนในช่วงนั้น แวะเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเส้นทางที่ผ่าน เริ่มจากประจวบ ชุมพร นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามไปยังเกาะสมุย เที่ยวหมู่เกาะอ่างทอง แล้วกลับมาที่ท่าเรือดอนสัก จ.สุราษฏร์ธานี จากนั้นตรงดิ่งมาจังหวัดตรังทันที

ขับรถยังไม่พ้นเขตจังหวัดตรังก็เจอฝนกระหน่ำ ซึ่งก่อนหน้านี้ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดตั้งแต่เรือเฟอร์รี่แล่นเทียบท่าแล้ว นี่มันอะไรกัน ฤดูไหนกันแน่

ตลอดเส้นทางจาก จ.สุราษฏร์ สู่จังหวัดตรัง ต้องผจญกับฝนและลมที่กระหน่ำรุนแรง ทั้งๆที่อยู่ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างทางพบอุบัติเหตุที่พึ่งเกิดขึ้นแบบสดๆร้อนๆอยู่หลายจุด ไม่พ้นแม้กระทั่งรถตรวจการณ์ของตำรวจ ถูกชนตรงสี่แยกหน้าป้อมตำรวจ สภาพบุบบิบบู้บี้ 4-5 คันรวด คงเป็นเพราะขับเร็วและถนนลื่น หรืออาจเป็นเพราะแค้นเคืองตำรวจแถวนั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ งานนี้ทายได้แบบไม่ต้องเดาว่าตำรวจไม่ผิด (อีกตามเคย)

พ้นฝน มาได้ก็เจอถนนโคลนบนเส้นทางสายทุ่งสง เขตจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นถนนกำลังก่อสร้าง จึงต้องขับรถช้าบ้าง เร็วบ้าง ตามสภาพของถนน และมีทางเบี่ยงค่อนข้างถี่ ส่วนถนนที่วิ่งได้คล่องตัวหน่อยก็เป็นดินลูกรังบดอัดผสมกับฝนที่พึ่งหยุดตก ทำเอารถเก๋งสีสวยๆหลายคันทดูกันไม่จืด วันนั้นรถรารู้สึกจะมากกว่าปกติ แน่นเต็มถนนทั้งที่บริเวณนั้นอยู่ห่างไกลจากชุมชนไม่ใช่น้อย ได้เห็นพฤติกรรมคนขับรถต่างจังหวัดแย่งกันขับ แย่งกันแซงแล้ว ช่างไม่ต่างกับที่เห็นในเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย

เสียเวลานานทีเดียวกว่าจะมาถึงอำเภอห้วยยอด ดินแดนของเค็กเมืองตรังที่ขึ้นชื่อ ครั้งแรกตั้งใจจะขับรถมาแบบสบายๆ กะคร่าวๆคงถึงห้วยยอด ราว 4 โมงเย็น แต่ต้องมาเสียเวลากับสภาพถนนและฝนตกหนักไปเกือบชั่วโมง ครั้นพอเข้าเขตห้วยยอดก็เจอฝนตกหนักซ้ำเข้าไปอีก มองไปทางไหน เห็นเป็นสีขาวโพลนด้วยสายฝน ร้านรวงที่อยู่ติดถนนก็ปิดร้านหลบฝนกันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งลมทั้งฝนถล่มกันหนัก สาดมาเป็นระลอกๆตลอดเส้นทาง จนต้องเร่งที่ปัดน้ำฝนไปถึงความเร็วสูงสุด บนถนนมีน้ำนองเป็นช่วงๆเลยถือโอกาสล้างรถทั้งคันไปในตัว

ขับรถไปอีกไม่นานก็เข้าเขตอำเภอเมืองจังหวัดตรังในช่วงเวลาใกล้ค่ำพอดี ที่นี่ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียว แต่สภาพท้องถนนดูแล้วเปียกโชก เข้าใจว่าฝนคงทิ้งช่วงไปไม่นานนัก

หลัง จากที่ติดต่อกับบริษัทตรังทราเวิล ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ของจังหวัดตรัง จัดการเรื่องเอกสาร (Voucher) เพื่อเป็นหลักฐานไปยังที่พัก และใช้ขึ้นเรือในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็เดินทางต่อ ทุกอย่างดูค่อนข้างสะดวกเพราะติดต่อจองมาจากกรุงเทพแล้ว ระหว่างทางก็ได้ติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือกันมาตลอด



คืนนี้ผมต้องนอนที่ “ปากเมง รีสอร์ต” ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดตรังออกไปราวสี่สิบกว่ากิโล รีสอร์ตอยู่ติดทะเลและอยู่ใกล้กับท่าเรือปากเมง สะดวกที่จะลงเรือท่องทะเลตรังตามโปรแกรมของบริษัทฯ ที่จะพาลูกทัวร์จากในเมืองมาลงเรือที่ท่าปากเมงนี้ในตอนเช้า เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องทะเลตรัง

ผมตั้งใจให้มาถึงชายหาดก่อนมืด ได้เห็นทะเล และเดินเล่นชายหาดตามโปรแกรมที่วางไว้ แต่วันนี้คงเป็นไปไม่ได้ กว่าจะมาถึงที่พักคงมืดพอดี

ขับ รถออกจากตัวจังหวัดไปยังหาดปากเมงตามที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทบอกทางไว้ ดูนาฬิกาในรถแล้วเป็นเวลาหกโมงเย็นเศษๆ ตามถนนและร้านค้าเริ่มเปิดไฟกันบ้างแล้ว ไม่นานก็ออกพ้นจากตัวเมือง ไปตามถนนสายที่พึ่งซ่อมสร้างเสร็จหมาดๆ ยังไม่มีเส้นแบ่งถนนและสัญญาณไฟทางตามจุดทางแยก จึงต้องขับรถด้วยระมัดระวังโดยเฉพาะคนเดินข้ามถนนไปมาในเขตชุมชน ช่วงโพล้เพล้แบบนี้อันตรายนักเชียว อุบัติเหตุหลายราย เจอในช่วงเวลานี้กันบ่อย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่รถต้องใช้ความเร็ว ลักษณะกึ่งมืดกึ่งสว่างแบบนี้นักขับรถรุ่นก่อนๆเตือนกันมานักต่อนักแล้วว่า ให้ระวัง มันเป็นช่วงที่เห็นวัตถุข้างหน้าไม่ค่อยชัดเจน บางครั้งเหมือนภาพลวงตา การเปิดไฟหรี่จึงจำเป็นมากในการขับรถนอกเมือง

พ้นจากเขตชุมชนไปไม่นานนักก็เข้าเขตป่าสวนยางพาราที่สูงใหญ่ และขึ้นหนาทึบทั้งสองข้างทาง

สภาพ อากาศเริ่มมืดจนต้องเปิดไฟใหญ่ ยิ่งสองข้างทางมีแต่สวนยางหนาแน่น ทำให้บรรยากาศทั่วไปดูจะมืดเร็วกว่าปกติ รถราที่วิ่งสวนไปมาเริ่มเบาบาง จนบางครั้งเหมือนกับว่ากำลังขับรถอยู่คนเดียวบนถนนสายนี้ สองข้างทางในย่านนี้แทบไม่มีบ้านคนให้เห็น มองไปทางไหนก็มีแต่สวนยางเป็นเงาทะมึนดำตลอดทาง ดูวังเวงพิกลๆ จนคนที่นั่งมาในรถนั่งเงียบไม่มีใครพูดจา และไม่มีใครหลับใครนอนกันอีกเลยเหมือนกับจะบอกว่า อยากให้พ้นๆแถวนี้และถึงที่พักกันซะที

จนกระทั่งขับมาถึงสามแยกใหญ่แห่งหนึ่งในท่ามกลางความมืดมิด ไร้บ้านคน มีแต่ป่าและสวนยางเต็มไปหมด
ข้างหน้ามีทางแยกตรงไปและแยกเบี่ยงไปทางซ้าย แต่ไม่มีป้ายบอกทาง ....?

“เอาละซิ ชักยุ่งละ แล้วจะไปทางไหนกันละ “ มืดแบบนี้มองไปทางไหนก็ไม่มีบ้านคนให้ถามไถ่ ผมลังเลใจจนต้องชะลอรถเพื่อตัดสินใจ ทั้งที่รู้ว่าการหยุดรถยามค่ำมืดในถิ่นที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ ควรกระทำ

บริเวณนี้เป็นลานกว้างจากการขยายถนน ยังไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีป้ายบอกหมายเลขทางหลวง ตรงไปก็ข้างหน้าก็เป็นถนนใหญ่
แยกออกไปทางซ้ายมือก็ถนนสายใหญ่เช่นกัน

“ทำไงดี” ผมนึกในใจ และตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเส้นทางไหนดี เสียงบ่น เสียงตำหนิ รวมทั้งเสียงด่า พึมพำดังมาจากข้างหลังรถทำนองว่า ถนนสายหลักเพื่อไปแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ แต่ทำไมทางจังหวัด จึงไม่ใส่ใจ แล้วแบบนี้คนต่างถิ่นจะรู้ได้อย่างไรกัน

งี่เง่า...ผมสบถเบาๆด้วยความโมโห

ลังเลใจอยู่สักพัก จึงตัดสินใจขับตรงไปข้างหน้า เพราะคิดว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว เส้นทางที่ตรงไปมักเป็นส้นทางสายหลัก ส่วนถนนที่แยกออกไปมักเป็นถนนสายรอง

ครั้น ขับรถตรงไปอีกประมาณ 500 เมตร ก็ถึงทางโค้งบนเนิน มองเห็นแสงไฟอยู่ข้างหน้าทางฝั่งขวามือ นึกภาวนาขอให้เจอผู้คนหน่อยเถอะ จะได้ถามให้แน่ใจ จริงตามที่คิด มีชาวบ้าน 3- 4 คนนั่งคุยกันที่เพิงริมถนนซึ่งเป็นร้านเล็กๆมีไฟเปิดริบหรี่ๆอยู่ดวงเดียว จึงตัดสินใจขับรถ ตัดถนนข้ามไปฝั่งตรงข้ามเพื่อสอบถามเส้นทาง

”ทางข้างหน้านี้ไปปากเมงรึเปล่าครับ” ผมเปิดกระจกรถถาม

“ ปากเมงต้องเลี้ยวขวาข้างหน้าตรงทางแยกโน้นครับ.....”
ชายวัยกลางคนตอบผมด้วยสำเนียงทางใต้พลางชี้มือไปตามทางที่ผมพึ่งผ่านมา เมื่อตะกี้ ตรงสามแยกเจ้าปัญหานั่นเอง

“ แต่ถ้าตรงไปข้างหน้าตามเส้นนี้ก็ไปได้ จะมีป้ายบอกทางไปหาดปากเมง” ชายที่นั่งอยู่ด้วยกันพูดเสริม

“ แล้วไปทางไหนใกล้ที่สุดละครับ”

“ เลี้ยวขวาตรงทางแยกตอนขามาเมื่อตะกี้จะใกล้กว่า “

“ ขอบคุณครับ” ผมเลื่อนกระจกรถขึ้นแล้วขับรถย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม

นึก ในใจว่า มันไม่สนุกนักกับการที่ต้องมานั่งคลำผิดคลำถูกกับเส้นทางในยามค่ำคืนเช่นนี้ และจุดเล็กๆตรงนี้ก็ไม่มีในแผนที่เสียด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาสร้างทาง หรือเขตการทางของจังหวัด อาจไม่ใส่ใจนักกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นความเคยชิน เข้าใจว่าคนท้องถิ่นหรือคนเมือง ตรังรู้กันอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คิดในทางตรงข้ามว่าเส้นทางท่องเที่ยวสายนี้จะมีผู้คนต่างถิ่นต้อง เดินทางมากันไม่น้อย ถ้ามีป้ายเขียนไว้เป็นการชั่วคราว ทุกอย่างก็คงจบ โดยไม่ต้องให้ใครมาสั่งสอน

ใน ที่สุดก็มาถึงหาดปากเมงราวๆเกือบทุ่ม แต่สภาพที่เห็นกับที่คิดไว้ในใจ มันแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ที่นี่เป็นชุมชนเล็กๆ มีร้านค้าเพียงไม่กี่ร้าน ร้านอาหารแถวๆชายหาดมีไม่มากนัก ที่สำคัญไม่ค่อยเห็นผู้คนเลย “หาดปากเมง ที่เคยได้ยินชื่อมานานนั้นมีสภาพเงียบๆแบบนี้หรือ “ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ผมจอดรถเพราะไม่แน่ใจว่า “ปากเมงรีสอร์ต” จะห่างจากนี้ ไปไกลแค่ไหน เจ้าหน้าที่บริษัททัวร์ก็บอกตอนขามาว่าอยู่ใกล้ๆแถวนี้ แต่แถวนี้จะไปซ้ายหรือไปขวาละ เพราะข้างหน้านั้นเป็นทางแยกตัดกับถนนที่วิ่งเลียบชายหาด จึงคิดว่าสอบถามคนแถวนี้น่าจะดีที่สุด

“ตรงไปข้างหน้าอีกประมาณ 2 กม. ก็จะถึงแล้วครับ “ ชายคนหนึ่งที่ผ่านมาเป็นคนให้คำตอบ ผมมองไปข้างหน้าตามมือที่เค้าชี้ไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักเพราะทางข้างหน้า นั้นดูมึดสนิท ท่าทางไม่น่าจะมีรีสอร์ตหรือมีบ้านคนแม้แต่หลังเดียว ผมขับรถตรงไปตามที่บอกอย่างช้าๆขณะเดียวกันก็หมายตาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็น ไว้ด้วย เพราะเห็นมีป้ายซีฟู้ดกันหลายร้าน ซึ่งแต่ละร้านก็ดูเงียบๆไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก

หาดปากเมง เป็นเพียงหาดเล็กๆ ตั้งอยู่ในชุมชนที่ยังไม่เจริญนักเมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มี ชื่อของจังหวัดอื่น ทีนี่ดูคล้ายกับจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของผู้คนในจังหวัดตรังเท่านั้น ไม่มีโรงแรมที่พักใหญ่โตตามที่เข้าใจ พอค่ำมาทุกอย่างจึงดูเงียบเหงา จะมีนักท่องเที่ยวบ้างก็เพียงประปราย ยิ่งช่วงหัวค่ำวันนี้มีฝนตกหนักด้วย จึงเห็นผู้คนค่อนข้างบางตา

ราวกิโลกว่าๆก็ถึงรีสอร์ตที่พัก มีป้ายบอกตัวเบ่อเร่อ “ปากเมงรีสอร์ต” เลี้ยวเข้าไปจอดข้างสำนักงานซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวยกพื้นสูง มองเข้าไปเห็นมีโต๊ะเก้าอี้วางเป็นชุดๆคงเป็นร้านอาหารไปในตัวด้วย พึ่งทุ่มกว่าๆที่มาถึง แต่มองไม่เห็นใครเลย เค้าท์เตอร์รับแขก และตามโต๊ะอาหารก็ไร้ผู้คน ดูเงียบๆแปลกๆ รอบอาคารสำนักงานมีต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้จนดูมืดครึ้ม ตามใบไม้ดูชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝนที่ตกตอนหัวค่ำ ด้านข้างและด้านหลังสำนักงาน มีบังกะโลหลังใหญ่หลังเล็กพอจะมองเห็นลางๆอยู่หลายหลัง บริเวณลานจอดรถข้างสำนักงานมีรถจอดตะคุ่มๆ อยู่ 2–3 คัน

ผู้ ร่วมเดินทางมากับผมยังนั่งอยู่ในรถ ไม่มีใครยอมลง บอกให้ผมติดต่อให้แน่นอนเรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งคงคิดว่ามีความไม่แน่ใจบางอย่างอยู่บ้าง เพราะสภาพที่เห็น ผิดแผกแตกต่างจากที่เคยไปเที่ยวในที่อื่นๆ จึงทำให้รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ พึ่งมาถึงหรือคะ ”
ผมหันไปตามเสียงทักของหญิงวัยราวๆเกือบหกสิบ ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นเจ้าของที่นี่ ในขณะที่ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่ระเบียงสำนักงาน

“ครับพึ่งมาถึง รถเสียเวลามากเพราะเจอฝนมาตลอด ถนนก็กำลังสร้าง……. ” ผมตอบ พร้อมกับแจ้งว่าได้จองไว้ผ่านทางบริษัททัวร์แล้ว

“ ก่อนที่คุณจะมาถึง ทางบริษัท (ตรังทราเวิล) ได้โทรมาบอกแล้วว่า คุณกำลังเดินทางมา เดี๋ยวจะให้คนพาไปที่ห้องพักเลยนะคะ”

“เสร็จแล้วก็มาทานอาหารเย็นได้ที่นี่ ซึ่งมีทุกอย่าง.....” เจ้าของสงสัยกลัวว่าเราจะกังวลเรื่องอาหารเย็นเลยบอกไว้ก่อนให้อุ่นใจ

ผม ขับรถไปตามทางแคบๆของรีสอร์ต ตามเจ้าหน้าที่ซึ่งถือไฟฉายส่องทางนำหน้าไป ห้องพักที่จองไว้เป็นลักษณะเรือนแถวกึ่งตึกกึ่งไม้ แบ่งเป็นห้องๆ ได้ประมาณ 4-5 ห้อง แต่มีไฟเปิดอยู่ห้องหนึ่ง ผมได้ห้องตรงกลางติดกับห้องที่เปิดไฟสว่าง ภายในห้องดูกว้างขวางสภาพทั่วๆไปถือว่าใช้ได้เมื่อเทียบกับราคาที่ไม่แพงนัก
หลังจากที่จัดการเรื่องสัมภาระเสร็จก็ตกลงว่า ไปทานอาหารกันก่อนแล้วค่อยมาอาบน้ำอาบท่ากันภายหลัง

ที่ ร้านอาหาร มีลูกค้าเพียงโต๊ะเดียวในเวลานั้น ก็คือคณะของผมนี่เอง ทานข้าวไปก็ได้คุยกับเจ้าของรีสอร์ตนั้นไปด้วย เจ้าของเล่าให้ฟังว่า"ปากเมงรีสอร์ต" เป็นรีสอร์ตแห่งแรกของหาดนี้ ใกล้ๆกันนี้มีอีก 3-4 แห่งไปทางหาดเจ้าไหม แต่ที่นี่จะใหญ่กว่า ร้านอาหารนี้จะมีบรรดา ส.ส. และนักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์มาทานเป็นประจำ โดยเฉพาะนายชวน หลีกภัย (ชาวจังหวัดตรัง) เคยมาหลายครั้ง มีแกงส้มเป็นอาหารโปรด ที่ปรุงด้วยยอดอ่อนของไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ ข้างๆร้านนี้เอง ดูแล้วคล้ายยอดมะม่วงที่กำลังแตกใบอ่อนเต็มต้น

คืน นั้นผมนอนฟังเสียง กบ เขียด อึ่งอ่างรวมทั้งจิ้งหรีด ประสานเสียงกันระงมไปหมด ทำให้รู้สึกว่าได้สัมผัสกับธรรมชาติ จากที่ไม่ค่อยได้พบสภาพเช่นนี้มานานทีเดียว ช่วงกลางดึกก็ได้ยินเสียงรถและเสียงผู้คนมาเข้าพักกันหลายชุด ทยอยเข้ามาเป็นระยะๆตามที่เจ้าของรีสอร์ตได้บอกไว้ว่า ลูกค้าที่นี่มาจากที่ไกลๆ ถึงที่พักก็เป็นเวลาดึกดื่น

มา รู้สึกตัวอีกทีในตอนเช้า เมื่อได้ยินเสียงเรือหางยาววิ่งผ่านด้านหลังรีสอร์ตอยู่หลายครั้ง นึกในใจว่าแถวนี้น่าจะมีแม่น้ำลำคลองอยู่ใกล้ๆ ผมตื่นมาราวๆหกโมงเช้าออกมานั่งเก้าอี้สูดอากาศอันสดชื่นที่ระเบียงหน้าห้อง มองดูสวนดอกไม้เล็กๆที่ไม่ได้ตกแต่งให้ดูสวยหรูนัก แต่ก็ได้บรรยากาศดี มีดอกชบาสีขาวกำลังออกดอกบานสะพรั่งตรงหน้าห้องที่พักพอดี ผมปล่อยให้ครอบครัวนอนหลับให้เต็มที่โดยยังไม่ปลุกผู้ใด เหลียวมองไปทางระเบียงห้องข้างๆ เห็นมีผ้าเช็ดตัวแขวนตากอยู่จึงรู้ว่าห้องว่างๆที่ปิดไฟมืดเมื่อคืนนี้ ตอนนี้มีคนมาพักเกือบหมดแล้ว

ผมนั่งซดกาแฟร้อนซึ่งเป็นกาแฟคั่วบดที่เตรียมมาเอง ปล่อยอารมณ์ในยามเช้าท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติอันสดชื่น มันทำให้กาแฟแก้วนั้นดูมีรสชาติไม่น้อย นี่แหละความสุขจากการท่องเที่ยวกับกาแฟที่โปรดปราน ดังนั้นทุกครั้งที่เดินทาง กาแฟบดพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ชง จึงต้องเตรียมไปด้วยทุกเมื่อ

“ลืมอะไรก็ลืมได้ แต่อย่าลืมกาแฟกับกล้องถ่ายภาพ”

รีสอร์ตแห่งนี้ปลูกต้นไม้ไว้ค่อนข้างจะมาก ส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับพื้นเมืองของทางใต้เห็นกันอยู่ทั่วไป มองไปทางไหนก็ดูสดชื่นไปหมด ความรู้สึกในเช้านี้แตกต่างกับเมื่อคืนนี้ที่ดูวังเวงอย่างสิ้นเชิง ผมเดินไปตามทางเดินเล็กๆผ่านห้องพักหลังเดี่ยวหลายหลังซึ่งอยู่โซนอื่น เห็นมี บางคนออกมาเดินชมวิวบริเวณหน้าห้องพักกันบ้างแล้วที่ลานจอดรถ มีรถราว 20 คัน มองป้ายทะเบียนแล้วเป็นรถมาจากกรุงเทพทั้งนั้น

เมื่อทุกคนเสร็จภารกิจตอนเช้ากันแล้ว ราว 7 โมงเศษๆก็ขับรถออกไปชมวิวทิวทัศน์กันข้างนอกตามเส้นทางไปหาดเจ้าไหม พบแหม่มสาว ชาวตะวันตกหน้าตาดี กำลังถ่ายภาพชายหาดหน้าที่รีสอร์ตอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข เลยเปิดกระจกรถทักทาย say hello โบกมือตาม ธรรมเนียม แหม่มสาวก็ส่งยิ้มโบกมือทักทายเช่นกัน เธอมีผิวขาวไม่หยาบกร้าน ใบหน้ารูปไข่ ผมยาวสยายปรกบ่าและใส่เสื้อออกสีชมพู

โอ้...เป็นความทรงจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้

นี่ถ้าขับรถมาคนเดียวโดยไม่มีผู้บัญชาการมาด้วย สงสัยจะจอดรถถ่ายภาพกับแหม่มสาวคนนั้นแล้วก็เป็นได้ บรรยากาศแบบนี้รับรองได้ภาพดีๆ มาประดับอัลบั้ม.... เพียบ

ถนนสายปากเมง - หาดเจ้าไหมมีต้นสนขึ้นตามธรรมชาติอย่างหนาแน่น บางช่วงเป็นสนต้นใหญ่อายุหลายสิบปี บางช่วงเป็นต้นเล็กๆที่ขึ้นเอง ตามธรรมชาติ ตลอดเส้นทางที่ยาวไกลหลายกิโลเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนชนิดที่แทบไม่เห็นช่องว่างเลย ยิ่งถ้าออกไปยืนตามชายหาด แล้วจะเห็นทิวสนขึ้นเป็นแถวเป็นแนวไปอีกไกลหลายสิบกิโลจนสุดลูกหูลูกตา คล้ายกับว่าที่นี่เป็นป่าสนธรรมชาติอย่างแท้จริง

ห่างจากหาดปากเมงไปราว 5 กิโล จะเป็นชุมชนเล็กๆอาศัยอยู่ตามริมคลอง ประกอบอาชีพด้วยการดักจับปูม้า โดยใช้อวนตาข่ายสูงราว 1 เมตร ขึงขวางลำคลองเป็นช่วงๆ ขึงดักไว้ตอนเย็นๆ เช้ามาก็ไปกู้อวน ปูที่ว่ายไปตามกระแสน้ำขึ้น-น้ำลง จะเกาะติดตาอวนข่ายว่ายไปไหนไม่ได้ดักไว้ทั้งคืนมีปูติดอวนมาไม่น้อยเลยทีเดียว

บริเวณแถวหาดปากเมงไปจนถึงลำคลองแถวๆนี้ เป็นแหล่งอาศัยของปูม้าเป็นจำนวนมาก และในเช้าวันนั้นได้พบเห็นสิ่งที่น่าแปลกประหลาดริมหาดปากเมงตรงสันเขื่อน ใกล้ที่พัก จนอดที่จะกล่าวถึงไม่ได้ก็คือว่า พบกองทัพลูกปูตัวเล็กๆสีออกขาวขุ่นนับหมื่นๆตัว เดินเป็นแถวเป็นแนว ลักษณะเดียวกับฝูงมดผ่านตามไปซอกหิน เป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นฝูงปูที่มากมายเช่นนี้มาก่อน

ใกล้กันนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งเรียกว่า “บ้านฉาง” เป็นหมู่บ้านอยู่ติดทะเล ชาวบ้านบอกว่าพื้นเพแท้จริงแล้วไม่ใช่คนที่นี่ แต่เป็นคนใต้ที่มาจาก จังหวัดอื่นและนับถือศาสนาอิสลาม มาตั้งรกรากทำอาชีพประมง หาปลาจากทะเลตรังที่ไม่ไกลนัก บ้างก็หาปูตามลำน้ำแถวนั้น ได้มาก็จะเอามาขาย ที่หมู่บ้าน ตอนเช้าๆจะมีพ่อค้ามาตระเวณรับซื้อ

ผมแวะเข้าไปถ่ายภาพและพูดคุยสอบถามชาวบ้านแถวนี้ไม่นานนักก็ได้เวลาที่ต้องไปยังท่าเรือปากเมง ซึ่งอยู่ห่างบ้านฉางไปอีกประมาณ 6 - 7 กม. ตามเวลาที่นัดหมายไว้

ท่า เรือปากเมงเป็นท่าเรือขนาดเล็กเพื่อการท่องเที่ยวทะเลตรังโดยเฉพาะ แตกต่างจากท่าเทียบเรือในจังหวัดอื่นที่มักจะใช้ท่าเทียบเรือประมงเป็นท่า เรือเพื่อการท่องเที่ยวไปในตัว จึงทำให้มีกิจกรรมต่างๆบริเวณท่าเรือเกิดขึ้นมากมาย ท่าเรือบางแห่งที่มีการควบคุมสภาพแวดล้อมไม่ดีพอ ก็จะทำให้เกิดความสกปรกและกลิ่นเน่าเสียตามมา แต่ท่าเรือปากเมงแห่งนี้แตกต่างจากท่าเรือที่กล่าวมาแล้วโดยสิ้นเชิง ภูมิทัศน์ที่นี่จึงดูเรียบร้อย สวยงามปราศจากกลิ่นเน่าเสียของซากสัตว์ทะเลต่างๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น