วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

คู่มือคลายเครียด



การคลายเครียดในภาวะปกติ เป็นวิธีการคลายเครียดที่คนทั่วไปนิยมปฏิบัติ โดยมักเลือกปฏิบัติในวิธีที่เคยชิน ถนัด หรือชอบ และสนใจ ทั้งนี้เพียงเพื่อให้ความเครียดลดลง รู้สึกสบายใจมากขึ้น เช่น

1. หยุดพักการทำงาน หรือกิจกรรมที่กำลังทำอยู่นั้นชั่วคราว ลุกขึ้นไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ยืนยืดเส้นยืดสาย สะบัดแขนขา สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

2. ทำงานอดิเรกที่สนใจหรือถนัดและชื่นชอบ จะทำให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลิน สนุกหรือมีความสุข ลืมความเครียดที่มีอยู่ไปขณะหนึ่ง ทำให้ไม่หมกมุ่นกับปัญหาที่ทำให้รู้สึกเครียดได้ งานอดิเรกมีหลายประเภท เช่น
• เล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ ฟังเพลง
• ทำงานศิลปะ งานประดิษฐ์
• ปลูกต้นไม้ ขุดดิน ทำสวน
• ตกแต่งบ้าน ตัดเย็บเสื้อผ้า
• เขียนหนังสือ เขียนบันทึกต่างๆ อ่านหนังสือ
• ดูโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฟังวิทยุ

3. เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกาย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เตะตะกร้อ เล่นเทนนิส แบดมินตัน เตะฟุตบอล โดยเลือกเล่นกีฬาที่ชอบหรือถนัด

4. พบปะสังสรรค์กับเพื่อนที่ไว้วางใจ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน เช่น การรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องที่สนุกสนาน อยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนที่อารมณ์ดี สร้างอารมณ์ขันให้กับตนเอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลินและผ่อนคลาย

5. พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียดมักจะมีอาการนอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับแล้วตื่นกลางดึก ฝันร้าย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การที่จะทำให้กลางคืนมีการนอนหลับที่ดีนั้น สิ่งสำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน และอย่ากังวลว่าจะนอนไม่หลับ ให้เข้านอนเป็นเวลา และหากไม่ง่วงนอน ก็ให้หากิจกรรมบางอย่างทำไปก่อน เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังวิทยุ เป็นต้น

6. ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานหรือที่บ้านให้เหมาะสม เช่น จัดเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ ทำความสะอาดบ้านและที่ทำงานให้ดูดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมดูสะอาด เรียบร้อย และสวยงามน่าอยู่แล้วย่อมทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและช่วยลดความเครียดลงได้

7. เปลี่ยนบรรยากาศชั่วคราว ในบางครั้งที่เราอาจคร่ำเคร่ง หรือเคร่งเครียดกับการทำงาน หรือกิจกรรมบางอย่างมาก ๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ซ้ำซาก จำเจเกินไป จนทำให้ไม่มีความสุข ดังนั้นการเปลี่ยนบรรยากาศชั่วคราวด้วยการชักชวนคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ออกไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติ หลีกหนีบรรยากาศที่จำเจไปชั่วคราว หยุดงานชั่วขณะ หยุดพักผ่อนบ้าง เดินทางไปสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และเพลิดเพลินสักระยะหนึ่ง จะทำให้ความตึงเครียดลดลง และพร้อมที่จะลุยงานต่อไปได้ใหม่

สิ่งสำคัญที่ควรระลึกถึงคือ การหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน กินของจุกจิก หรือใช้ยาเสพติด เพราะนอกจากจะทำลายสุขภาพแล้ว ยังอาจทำให้มีปัญหาอื่นๆ ตามมามากมาย เช่น เสียทรัพย์สินเงินทอง เกิดความขัดแย้งไม่เข้าใจกับคนในครอบครัว เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ



พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2548 ณ โรงพยาบาลศิริราช พระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ (หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา)

พระนาม "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ" มีความหมายว่า ผู้ทำประทีป คือปัญญาให้สว่างกระจ่างแจ้ง, ผู้ทำเกาะ คือที่พึ่งให้รุ่งเรืองโชติช่วง

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ได้มีพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ ในพระที่นั่งอนันตสมาคม ตามพระราชประเพณี เมื่อพระเจ้าหลานเธอฯ มีพระชนมายุครบ 1 เดือน

นอกจากนี้ ในวาระที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงเจริญพระชันษาครบ 1 ปี ในวันที่ 29 เมษายน 2549 กรมธนารักษ์ จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ชนิดราคา 50 บาท ทำด้วยทองแดงผสมนิกเกิล น้ำหนัก 21 กรัม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 36 มิลลิเมตร จำนวนผลิตไม่เกิน 500,000 เหรียญ ลวดลายด้านหน้ากลางเหรียญมีพระรูป พระเจ้าหลานเธอฯ ผินพระพักตร์ทางเบื้องซ้าย ภายในวงขอบเหรียญด้านขวามีข้อความว่า "พระองค์เจ้า" ด้านซ้ายมีข้อความว่า "ทีปังกรรัศมีโชติ" ด้านหลังกลางเหรียญมีข้อความว่า "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงเจริญพระชันษา 1 ปี 29 เมษายน 2549 50 บาท" ภายในวงขอบเหรียญด้านขวา มีรูปลูกไก่ยืนอยู่บนหัวเม็ดทรงมัณฑ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งสำหรับม้วนเก็บแผ่นจารึก เบื้องล่างมีข้อความว่า "ประเทศไทย"

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

วันราชาภิเษกสมรส



วันที่ 28 เมษายน นับเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่ง เพราะนับถอยหลังไปในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกสมรส กับ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร พระธิดาพระองค์ใหญ่ในพลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และ หม่อมหลวงบัว กิติยากร

พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในครั้งนั้น นับว่าเป็นปรากฏการณ์ ครั้งแรกสำหรับพระมหากษัตริย์ไทยในยุคประชาธิปไตย ที่ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั่วไป

พระราชพิธีราชาภิเษก

และแล้วสำนักพระราชวังก็ได้ประกาศข่าวพระราชกระแสรับสั่งให้จัดเตรียมการพระ ราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้นเป็นลำดับแรก และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นลำดับถัดไป ซึ่งพระราชกระแสรับสั่งดังกล่าวได้มีประกาศไว้ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ 23 เล่มที่ 67 ลงวันที่ 25 เมษายน 2493 เรื่อง การพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 2493 เหตุการณ์สำคัญวันนั้น มีดังนี้

เมื่อวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2493 อันเป็นวันประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ซึ่งกำหนดจัดให้มีขึ้นที่พระตำหนักของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม เช้าวันนั้น ตามหมายกำหนดการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ ห้องรับแขกตำหนักสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ในวังสมเด็จพระราชบิดา โอกาสนั้น หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร และหม่อมหลวงบัว กิติยากร ทรงพาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร มายังวังสระปทุม ประทับในห้องรับแขกอีกห้องหนึ่ง รอคอยการพระราชพิธี หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ อยู่ในชุดสีงาช้าง ผ้านุ่งเป็นผ้ายกทอง สวมสายสะพายปฐมจุลจอมเกล้า สวมสร้อยคอเพชร สร้อยข้อมือเพชร ของเก่าของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตุ้มหูเพชรของเก่าฝีมือทำขึ้นใหม่ ครั้นได้เวลาพระฤกษ์ คือ เวลา 09.30 น. หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ทรงพาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ที่นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมุดทะเบียนสมรส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย จากนั้น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ลงนาม ซึ่งขณะนั้นมีชนมายุเพียง 17 ปีย่าง หม่อมเจ้านักขัตรมงคล จึงทรงลงพระนามในฐานะพระบิดา และหม่อมหลวงบัว ลงนามในฐานะพระมารดา แล้วทรงโปรดให้ราชสักขีลงนามเป็นลำดับต่อไป แล้วจึงเสด็จขึ้นประทับ ณ ห้องพระราชพิธีบนพระตำหนัก เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ต่อไป ซึ่งเวลาพระฤกษ์ในช่วงนั้นอยู่ระหว่างเวลา 10.24 - 12.10 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนแพเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระพันวัสสา ฯ แล้วสมเด็จพระพันวัสสา ฯ ได้ถวายน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนตร์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรดน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนตร์ แด่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ตามโบราณราชประเพณีแห่งการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

จากนั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเจิมพระนลาฎพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงเจิมหน้าผากหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ตามลำดับ เวลานั้น ทรงมีพระราชดำรัสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ด้วยว่า "เอ้า ! หันออกไปยิ้มกับผู้คนที่เขามางานซิ เขาอุตส่าห์มากันเต็ม ๆ ออกไปให้เขาเห็นหน่อย"

หลังจากที่ทรงเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้เสด็จพระราชดำเนินลงมายังห้องรับแขกอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางพระบรมวงศานุวงศ์ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่สองแถวในห้องรับแขกของวังสระปทุม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

เมื่อจบคำประกาศของอาลักษณ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสายสะพายขัตติยราชอิสริยาภรณ์ มหาจักรีบรมราชวงศ์ อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด แด่สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์เนื่องในการอันเป็นมหามงคลครั้งนี้ด้วย

พระราชพิธีในตอนบ่าย วันที่ 28 เมษายน 2493 เวลา 16.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เสด็จออก ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ประทับเหนือพระราชอาสน์ พระบรมวงศานุวงศ์ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ได้เวลามหามงคลฤกษ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร ทรงรับฉันทานุมัติให้กล่าวถวายพระพรในนามของพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อทรงกล่าวจบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ แล้วเสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย คณะรัฐมนตรี ทูตานุทูต สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในมหาสมาคมครั้งนั้น เมื่อจบพระราชดำรัสแล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ผู้ได้รับฉันทานุมัติ ได้กล่าวถวายพระพรในนามของผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในมหาสมาคม เมื่อกล่าวจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์เสด็จขึ้น ชาวพนักงานประโคมแตร และกลองมโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี

ในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ พระบรมวงศานุวงศ์และพระประยูรญาติใกล้ชิด ได้ทูลเกล้าฯ ถวายของขวัญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ซึ่งพระองค์ก็ได้พระราชทานของที่ระลึกเป็นการตอบแทน คือ หีบเงินขนาดเล็ก มีพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยคู่กัน

งานเลี้ยงพระราชทานในคืนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเป็นการภายใน ระหว่างพระญาติสนิทกับข้าราชบริพาร ไม่เกิน 20 คน นับเป็นพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสที่เรียบง่ายที่สุด

วันรุ่งขึ้น วันเสาร์ที่ 29 เมษายน 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ได้เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานโดยทางรถไฟไปยังพระราชวังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ เป็นเวลา 3 วัน รถไฟพระที่นั่งเคลื่อนขบวนถึงสถานีรถไฟหัวหินเมื่อเวลา 17.00 น. ณ ที่นั้นมีผู้มารอรับเสด็จเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์ได้ประทับรถยนต์พระที่นั่งต่อไปยังพระราชวังไกล กังวล หัวหิน ตลอดระยะทางที่รถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่าน มีประชาชนมารอรับเสด็จเป็นจำนวนมากเช่นกัน

ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่ที่พระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ตลอดระยะเวลา 3 วัน กองทัพเรือได้จัดเรือรบหลวงมาจอดถวายการอารักขาหน้าพระตำหนัก จำนวน 4 ลำ ได้แก่ เรือรบหลวงบางปะกง เรือรบหลวงบางแก้ว เรือรบหลวงบางระจัน และเรือรบหลวงโพธิ์สามต้น …ซึ่งนับจากวันนั้นถึงวันที่ 28 เมษายน 2545 นับเป็นเวลา 52 ปีเต็ม …และในศุภวาระโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ เสด็จอยู่เป็นคู่พระมิ่งขวัญร่มโพธิ์ทองของปวงประชาชาวไทยตลอดไปชั่วกาลนา

ราชาภิเษก

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบัญญัติถ้อยคำเกี่ยวกับการสมรสไว้เป็น 3 อย่าง คือ ข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิ์เรียกว่า "สมรส" พระองค์เจ้า หรือหม่อมเจ้าเรียกว่า "เสกสมรส" เจ้าฟ้าเรียกว่า "อภิเษกสมรส"

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน "ราชาภิเษก" ได้มีพระบรมราชโองการสถาปนาพระอัครมเหสี โดยประกาศวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493 ความตอนหนึ่งว่า "มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า "ได้ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ถูกต้องตามกฎหมายและราชประเพณีโดยสมบูรณ์ทุกประการแล้ว"

ในปีพ.ศ.2489 เมื่อรัฐบาลในนามของประชาชนทั้งประเทศ กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นั้น ประเทศไทยขาดพระบรมราชินีมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งขณะนั้นคือ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2492 ประชาชนชาวไทยจึงพากันตื่นเต้นยินดี ยิ่งได้ทราบว่าพระคู่หมั้นทรงมีพระสิริโฉมงดงาม มีพระปรีชาสามารถ


วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

ทำไมคนเราต้องฝัน

นักจิตวิทยาในช่วงศตวรรษที่ 19 หรือ 80-90 ปีที่ผ่านมา เขาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต ไม่ใช่ลางบอกเหตุในอนาคต กลับจะเป็นตัวบ่งชี้ความนึกคิดก่อนฝันเสียด้วยซ้ำ

อย่างทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาชาวยิวที่ไปอยู่เยอรมัน แล้วเสียชีวิตที่ออสเตรเลีย ถือเป็นนักจิตวิทยาที่โด่งดังคนหนึ่งของโลก กล่าวไว้ว่า

ความฝันเกิดจากจิตใต้สำนึกของคนเรา ซึ่งเป็นแรงผลักดันจาก Id หรือ อิด ซึ่งหมายถึงสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่วนจิตใต้สำนึกคือความคิด ความรู้สึกที่เราไม่รู้ พูดง่ายๆอีกได้ว่า

ความคิดความรู้สึกที่ไม่รู้คือจิตใต้สำนึก ส่วนที่รู้ก็ไม่เรียกจิตใต้สำนึก ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่เราตื่นอยู่เราไม่ได้คิดถึงฐานะความเป็นอยู่ แต่กลับฝันว่ามีเงินทองร่ำรวยและมีความสุขมาก นั่นแสดงว่าความรู้สึกลึกๆของเราอยากรวยนั่นเอง

ฟรอยด์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ความฝันอาจเกิดจากความต้องการที่ไม่ได้รับการสนองตอบ ทำให้เกิดความคับข้องใจหรือเก็บกด จึงระบายออกมาเป็นความฝัน เช่น ตั้งใจว่าอยากไปดูฟุตบอลยุโรปทัวร์นาเม้นต์ต่างๆในสนามจริงๆ ถึงช่วงฮอตๆ เช่น บอลโลก บอลยูโร ก็เกิดความอยากอยู่เรื่อย เลยเก็บเอาไปฝัน

กรณีนี้รวมไปถึงการหลงไหลได้ปลื้มใครสักคน โดยอาจจะนำไปฝันถึงสาวที่ปิ๊งอยู่ก็ได้ ส่วนการทำนายฝันตามตำราน่าจะเป็นศาสตร์คล้ายๆกับการทำนายดวงหรือหมอดู

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของการเลือกสีเสื้อ

เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่ครีมกันแดดที่มีค่า spf จะช่วยป้องกันรังสี uv เท่านั้นค่ะมีงานวิจัยจากสเปน ที่เผยแพร่โดยสมาคมเคมีอเมริกา เขาทำการวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติในการดูดรังสี uv ของผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน แดง และเหลือง

ผลคือ..
สีน้ำเงิน ดูดรังสี uv ได้มากที่สุด ทำให้รังสี uv ผ่านไปสู่ผิวผู้สวมใส่ได้น้อยสุด รองลงมาคือ สีแดงส่วนสีเหลืองนั้น ดูดรังสี uv ได้น้อยที่สุด ทำให้รังสี uv ผ่านไปสู่ผิวผู้สวมใส่ได้มากสุด

สรุปว่า..
ถ้าเพื่อนๆ มีเสื้อผ้าฝ้าย 3 สี คือ สีน้ำเงิน แดง และเหลืองแล้วให้เลือกใส่เสื้อสีที่ปกป้องผิวจาก uv ได้มากที่สุด ต้องเลือกสีน้ำเงินค่ะ

เพราะ uv นั้น ย่อมาจาก ultraviolet เรียกภาษาไทยว่า "รังสีเหนือม่วง"ตามธรรมชาติได้มาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ค่ะและถ้าผิว ได้รับรังสี uv มากๆ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย

เมืองไทยของพวกเราอากาศร้อน แดดก็แรง รักษาสุขภาพผิวกันนะคะทาโกะว่าผิวแบบไทยก็สวยได้ ผิวสีน้ำผึ้งไงคะ เราอาจจะไม่ขาวไปกว่าที่เราเป็นอยู่แต่เราก็ดูสวย สดใส และดูสุขภาพดีได้ค่ะ ( ^^ )

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

การใช้น้ำอย่างประหยัดและถูกวิธี

ประหยัด, น้ำ, ทรัพยากร, พฤติกรรม, การอาบน้ำ, แปรงฟัน

วันนี้มีวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัดและถูกวิธีมาฝาก...

- การอาบน้ำ การใช้ฝักบัวจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด รูฝักบัว ยิ่งเล็ก ยิ่งประหยัดน้ำ ปิดฝักบัวในขณะที่ถูสบู่ จะใช้น้ำเพียง 30 ลิตร หากไม่ปิดจะใช้น้ำถึง 90 ลิตร และหากใช้อ่างอาบน้ำจะใช้น้ำถึง 110-200 ลิตร

- การโกนหนวด โกนหนวดแล้วใช้กระดาษเช็ดก่อน จึงใช้น้ำ จากแก้วมาล้างอีกครั้ง ล้างมีดโกนหนวดโดยการ จุ่มล้างในแก้ว จะประหยัดกว่าล้างโดยตรงจากก๊อก

- การแปรงฟัน การใช้น้ำบ้วนปากและแปรงฟันโดยใช้แก้ว จะใช้น้ำเพียง 0.5-1 ลิตร การปล่อยให้น้ำไหล จากก๊อกตลอดการแปรงฟัน จะใช้น้ำถึง 20-30 ลิตรต่อครั้ง

- การใช้ชักโครก การใช้ชักโครกจะใช้น้ำถึง 8-12 ลิตร ต่อครั้ง เพื่อการประหยัด ควรใช้ถุงบรรจุน้ำมาใส่ในโถน้ำ เพื่อลดการใช้น้ำ โถส้วมแบบตักราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่า หากใช้ชักโครก ควรติดตั้งโถปัสสาวะและโถส้วมแยกจากกัน

- การซักผ้า ขณะทำการซักผ้าไม่ควรเปิดน้ำทิ้งไว้ตลอดเวลา จะเสียน้ำถึง 9 ลิตร/นาที ควรรวบรวมผ้าให้ได้มากพอต่อการซักแต่ละครั้ง ทั้งการซักด้วยมือและเครื่องซักผ้า

- การล้างถ้วยชามภาชนะ ใช้กระดาษเช็ดคราบสกปรกออกก่อน แล้วล้างพร้อมกันในอ่างน้ำ จะประหยัดเวลาประหยัดน้ำ และให้ความสะอาดมากกว่าล้างจากก๊อกโดยตรง ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำ 9 ลิตร/นาที

- การล้างผักผลไม้ ใช้ภาชนะรองน้ำเท่าที่จำเป็น ล้างผัก ผลไม้ ได้สะอาดและประหยัดกว่าเปิดล้างจากก๊อกโดยตรง ถ้าเป็น ภาชนะที่ยกย้ายได้ ยังนำน้ำไปรดต้นไม้ได้ด้วย

- การเช็ดพื้น ควรใช้ภาชนะรองน้ำและซักล้างอุปกรณ์ใน ภาชนะก่อนที่จะนำไปเช็ดถู จะใช้น้ำน้อยกว่า การใช้สายยางฉีดล้างทำ ความสะอาดพื้นโดยตรง

- การรดน้ำต้นไม้ ควรใช้ฝักบัวรดน้ำต้นไม้แทนการใช้ สายยางต่อจากก๊อกน้ำโดยตรง หากเป็นพื้นที่บริเวณกว้าง ก็ควรใช้ สปริงเกลอร์ หรือใช้น้ำที่เหลือจากกิจกรรมอื่นมารดต้นไม้ ก็จะช่วย ประหยัดน้ำลงได้

- การล้างรถ ควรรองน้ำใส่ภาชนะ เช่น ถังน้ำ แล้วใช้ผ้าหรือเครื่องมือล้างรถจุ่มน้ำลงในถัง เพื่อเช็ดทำความสะอาดแทนการ ใช้สายยางฉีดน้ำโดยตรง ซึ่งจะเสียน้ำเป็นปริมาณมากถึง 150-200 ลิตร/ครั้ง

รู้อย่างนี้แล้ว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำอย่างถูกวิธี เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรแถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย.

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

สัตว์ทะเลหน้าดิน (Marine Benthos)



สัตว์ทะเลหน้าดิน (Marine Benthos) โดย นางณิฏฐารัตน์ ปภาวสิทธิ์

สัตว์ทะเล หน้าดิน (marine benthos)หมายถึง สัตว์ทะเลที่มีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่บริเวณพื้น ท้องทะเลโดยบางชนิดอาศัยอยู่บนพื้นดิน บางชนิดฝังตัวอยู่ในดิน ตลอดจนพวกที่หากินบนพื้นท้องทะเลพวกหลังนี้ ได้แก่ พวกปลาหน้าดิน เช่น ปลาซีกเดียว และปลาเก๋า ก็จัดว่าเป็นสัตว์ทะเลหน้าดินด้วย นอกจากปลาหน้าดินแล้ว พวกกุ้ง หอยและปู จัดเป็นสัตว์ทะเลหน้าดินที่เรารู้จักกันดีเนื่องจากเป็นสัตว์น้ำที่มีความ สำคัญทางเศรษฐกิจ
สัตว์ทะเล หน้าดินมีบทบาทที่สำคัญในทะเลคือเป็นอาหารสำคัญสำหรับสัตว์น้ำชนิดอื่นและ ปลาหลายชนิด ความหนาแน่นของสัตว์ทะเลหน้าดินในบริเวณใดบริเวณหนึ่งในทะเลเป็นสิ่งบ่งชี้ ถึงความอุดมสมบูรณ์สำหรับปลาและสัตว์น้ำที่อาศัยในบริเวณนั้น โดยเฉพาะฝูงปลาและสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการศึกษา สัตว์ทะเลหน้าดินในระยะแรกๆ นั้นมุ่งศึกษาถึงชนิดและความหนาแน่นของสัตว์กลุ่มนี้ เพื่อใช้ทำนายความอุดมสมบูรณ์ของฝูงปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ การศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ทะเลหน้าดินส่วนใหญ่มุ่งที่จะให้ทราบถึงปริมาณและ ชนิดของสัตว์ที่พบ ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลพิจารณาถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำและสามารถ ใช้เป็นดัชนีชี้คุณภาพของแหล่งน้ำได้อีกด้วย สัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็กเช่น พวกไส้เดือนตัวกลม(nematodes) และไส้เดือนทะเล (polychaetes) ใช้เป็นดัชนีชี้คุณภาพน้ำที่ดี เพราะเราสามารถพบสัตว์เหล่านี้ได้ทั่วไป มีการฝังตัวอยู่กับที่และมีช่วงชีวิตยาว นอกจากนี้สัตว์กลุ่มนี้ยังมีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เช่นสภาพที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำเนื่องจากน้ำเน่าเสียเป็นต้น
การศึกษา เกี่ยวกับสัตว์ทะเลหน้าดินในประเทศไทยนั้นมีการศึกษาอย่างกว้างในบริเวณอ่าว ไทยทั้งตอนบนและตอนล่าง ตลอดจนบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน มีการศึกษากลุ่มประชากรสัตว์ทะเลหน้าดินบริเวณแม่น้ำและทะเลสาบที่สำคัญ ต่างๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำบางปะกง และทะเลสาบสงขลา ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาสัตว์ทะเลหน้าดินใน ระบบนิเวศต่างๆ เช่น ระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งมีการศึกษามากบริเวณจังหวัดภูเก็ต อ่าวพังงาระนอง จันทบุรี และสมุทรสงคราม ฯลฯ ส่วนสัตว์ทะเลหน้าดินในบริเวณแนวปะการังมีการศึกษา ทั้งในอ่าวไทยและบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันด้วย เช่นเดียวกับการศึกษาสัตว์ทะเลหน้าดินในระบบนิเวศหญ้าทะเล ในการศึกษาส่วนใหญ่มุ่งศึกษาความหลากหลายของชนิดสัตว์ทะเลหน้าดินที่พบ ขอบเขตการกระจาย ปริมาณและมวลชีวภาพ
เพื่อ ดูความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณที่ทำการศึกษานอกจากนี้ส่วนใหญ่มักศึกษาหาความ สัมพันธ์ระหว่างสัตว์ทะเลหน้าดินกับปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆประกอบกันไปด้วย การศึกษาในบางเรื่องมุ่งให้ความสนใจที่จะใช้สัตว์ทะเลหน้าดินเป็นดัชนีที่ ชี้บ่งคุณภาพของแหล่งน้ำหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นๆ เช่น การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพโดยพิจารณาจากค่าดัชนีความแตกต่าง(species diversity index) ค่าดังกล่าวจะบอกถึงจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตที่พบได้ในชุมชนสิ่งที่มีชีวิต พื้นท้องทะเล ตามปกติเราพบว่าค่าดัชนีความแตกต่างนี้จะต่ำในบริเวณที่มีคุณภาพของน้ำ เสื่อมลงหรือน้ำเน่าเสีย ทั้งนี้เป็นเพราะมีสัตว์จำนวนน้อยชนิดเท่านั้นที่จะทนอยู่ได้และมีการปรับ ตัวเพื่ออาศัยอยู่ต่อไปในบริเวณดังกล่าวได้ แต่ถ้าเรานับจำนวนตัวในแต่ละชนิดที่พบอาศัยอยู่ในบริเวณที่ไม่เหมาะสมนี้จะ มีค่าสูง เนื่องจากมันขาดผู้ต่อสู้แก่งแย่งเพื่อครอบครองอาหารและที่อยู่อาศัย สัตว์กลุ่มนี้จึงสามารถแพร่พันธุ์และเพิ่มจำนวนได้มาก ในทางตรงกันข้ามในที่ที่มีคุณภาพน้ำค่อนข้างสะอาด มักจะมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีค่าดัชนีความแตกต่างสูง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์หลายชนิดที่อาศัยอยู่ได้ในบริเวณเดียวกัน จำนวนตัวในแต่ละชนิดจึงมักจะต่ำเนื่องจากต้องมีการแบ่งสันปันส่วนพลังงานและ ที่อยู่อาศัยซึ่งกันและกัน


วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

8 วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน



วิธีที่ 1 ไม่ควรกินนำแข็งหรือดื่มนำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่ที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม

วิธีที่ 2 เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้

วิธีที่ 3 ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่อแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

วิธีที่ 4 การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

วิธีที่ 5 อาหารควรจะทานข้าวต้มเพราะเป็นอาหารที่อ่อน เพราะใช่ช่วงเช้ายังไม่คชต้องการจะทานอาหารที่หนัก ๆ ทานพักผลไม้เยอะ ๆ หลักเลลี่ยงอาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ

วิธีที่ 6 ดูแลสุขถภาพของเด็ก โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย ทางเดิน

วิธีที่ 7 หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดเนไป

วิธีที่ 8 บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอานุมักมีระบบย่อยที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน ป็นต้น

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

อัญมณีกับความเชื่อ โดย นายโพยม อรัณยกานนท์ และคนอื่นๆ

การใช้อัญมณีอย่างจริงจังในด้านต่างๆ มีมานานกว่า ๕,๐๐๐ ปีมาแล้วในอียิปต์ จีน อินเดีย ต่อเนื่องในกรีก โรมัน จนขยายมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อัญมณีที่เป็นที่นิยมรู้จักในสมัยเริ่มแรก ได้แก่ แอเมทิสต์ ควอตซ์ ผลึกใส การ์เนต ลาพิส-ลาซูลี ไข่มุก ปะการัง แจสเพอร์ หยก มรกตเทอร์คอยส์ เป็นต้น โดยมีรูปแบบของอัญมณีเป็นแบบง่ายๆ เช่น เป็นเม็ดกรวดกลม มน ลูกปัด แกะสลัก ฯลฯและมักใช้โลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน ทองแดงฯลฯ ร่วมประกอบเป็นเครื่องประดับต่างๆ ด้วย นอกจากจะใช้ประโยชน์ทางด้านความสวยงามทั้งทางกายและสถานที่แล้ว อัญมณีต่างๆ ยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกันภัย พิษร้าย โรคร้าย ความชั่วร้ายต่างๆ เป็นเครื่องแสดงถึงความมีฐานะ ความมีอำนาจ ความมั่งคั่งใช้เป็นยารักษาโรคหรือแม้กระทั่งใช้แทนเงิน ในสมัยก่อนนั้น ความเจริญ ความรู้ความเข้าใจทางด้านวิทยาศาสตร์ของมนุษย์เรายังมีน้อย หรือมีจำกัดอยู่ในบางที่ บางวัฒนธรรมเท่านั้น คนโบราณจึงมักจะเชื่อถือในอำนาจลึกลับ ความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร ตลอดจนเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆ เลยถือกันว่า อัญมณีแต่ละอย่างแต่ละชนิดจะมีพลังอำนาจพิเศษที่ว่านี้ซ่อนเร้นอยู่ สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้ใช้และผู้สวมใส่ได้แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น แอเมทิสต์ ในสมัยกรีกเชื่อว่าป้องกันความเมามายได้ ทับทิมหรือการ์เนตสีแดงก็เชื่อว่าป้องกันพิษ รักษาโรค บาดแผลต่างๆ ได้ เป็นต้น ซึ่งแม้ในสมัยต่อมาจะมีการขุดพบอัญมณีชนิดต่างๆ มากขึ้น มีรูปแบบของการตัด ขัด แต่ง เจียระไนต่างๆ มากมาย แต่การใช้ประโยชน์และความเชื่อต่างๆ ของอัญมณีของมนุษย์ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักความคิดและความเชื่อแบบนี้ สามารถพบเห็นได้ในทุกวัฒนธรรม ทุกสังคม ทุกสมัย แม้แต่ในสังคมปัจจุบันนี้ที่ความเชื่อถืออาจจะลดน้อยลงไปบ้างเนื่องจากความ รู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มีมากขึ้นแต่ก็มีพบเห็นได้บ้าง

จากความเชื่อถือในอำนาจ ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มีมานานนับแต่สมัยโบราณนั่นเอง มนุษย์เราจึงนำอัญมณีหลายชนิด เข้าไปผูกพันกับสิ่งต่างๆ ที่เชื่อว่ามีพลังอำนาจพิเศษ เช่น พระอาทิตย์พระจันทร์ ดาวฤกษ์ ดาวพระเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งสิ่งอื่นๆ อีกหลายอย่าง ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรม ความนิยมเชื่อถือต่อกันมา ที่ทราบและสนใจกันโดยทั่วไปคือ ความผูกพันของอัญมณีกับเรื่องราวทางโหราศาสตร์ เช่น การจัดแบ่งชนิดอัญมณีให้เข้ากับสัญลักษณ์จักรราศีเกิดเป็นอัญมณีประจำราศี และต่อเนื่องเข้าสู่อัญมณีประจำเดือนเกิด หรือแม้แต่ ฤดูเกิดสัปดาห์เกิด วันเกิด ชั่วโมงที่เกิด เป็นต้น การจัดแบ่งชนิดอัญมณีตามจักรราศี หรืออื่นๆ ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนแน่นอนว่า เริ่มมาจากที่ใด สมัยใดแน่ มีความเปลี่ยนแปลงมาแล้วมากน้อยแค่ไหน ไม่มีหลักเกณฑ์กำหนดแน่ชัด

จากความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ อัญมณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นในทางวิชาการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ก็อาจจะเป็น ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับผู้สนใจโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนักอัญมณีมืออาชีพหรือพ่อค้าเพชรพลอยทั้งหลาย ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา นักนิยมสะสมอัญมณีสมัครเล่นที่มีความสนใจในเรื่องดังกล่าว สามารถอ่านและศึกษาเป็นความรู้พื้นฐานได้ ซึ่งจะช่วยให้ทราบและเข้าใจถึงความสำคัญของอัญมณี เครื่องประดับทั้งในด้านคุณค่า คุณประโยชน์ในด้านต่างๆทำให้เกิดความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม ในการช่วยเสริมสร้างประเทศชาติให้พัฒนาก้าวหน้าได้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจ การค้า การอุตสาหกรรมของประเทศ ด้วยการศึกษาค้นคว้าค้นหา พัฒนาเพิ่มคุณค่าของอัญมณีและเครื่องประดับ ให้เป็น ที่ต้องการของตลาดต่างๆ ทั่วโลกมากยิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

13 วิธี ในการเพิ่มความสุขให้กับชีวิต


การ สร้างความสุขให้กับตนเอง จริงๆ แล้วทำไม่อยากหรอกครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่า คนเราจะทำหรือปล่าวเท่านั้น วันนี้ผมมีข้อแนะนำมาฝาก สำหรับการสร้างความสุขให้ตนเองแบบง่ายๆ ลองทำดูนะครับ

1. ดื่มน้ำทุกชั่วโมง เวลาทำงานเรามักยุ่งจนลืมดื่มน้ำ ทางแก้คือ วางแก้วน้ำหรือขวดน้ำไว้ใกล้มือแล้วจิบบ่อยๆ พบว่าหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนน้ำหนักตัวลดลงแม้แค่ 2 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลให้ให้ความจำระยะสั้นและทักษะการแก้ปัญหาลดลง เมื่อไรที่รู้สึกกระหายน้ำ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าขาดน้ำแล้ว

2. ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ต้องเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจด้วยนะ เพราะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนรับรู้ความสุข หากวันไหนรู้สึกเศร้าจนยิ้มไม่ออก โทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่มุขเยอะหรืออยู่ใกล้คนอารมณ์ดีเข้าไว้ จะทำให้คุณยิ้มได้ เพราะคนเรามีแนวโน้มเลียนแบบอารมณ์ของคนที่พูดคุยด้วย

3. เช็คท่าทางของตัวเอง ขณะนั่งทำงานเรามักโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนยืดขึ้นจนอาจบาดเจ็บได้ ทางที่ดี ทุก 2 - 3 ชั่งโมง คุณควรเช็คท่านั่งของตัวเองเพื่อบุคลิกและสุขภาพที่ดี ท่าที่เหมาะสมคือ นั่งให้สะโพกและไหล่อยู่ในแนวตรงกัน ไม่ต้องถึงกับหลังตรงมากเกินไป ต้นขาขนานพื้น โดยให้ข้อเท้าอยู่ล้ำหัวเข่าออกไปเล็กน้อย หากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อวันละ 2 - 3 ครั้ง โดยนั่งหลังตรง กางแขนทั้งสองขึ้นด้านข้างระดับไหล่ งอศอกให้มือทั้งสองแตะศีรษะ แล้วบีบสะบักหลังเข้าหากัน ค้างไว้ 3 วินาที ทำซ้ำ 3 ครั้ง

4. คิดจินตนาการเรื่องดีๆ ก่อนนอน ใช้เวลาก่อนแค่ 2 - 3 นาที วาดฝันเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ทริปสุดสนุกช่วงพักร้อน ดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับหวานใจ หรือคำชมจากเจ้านาย เทคนิคนี้ช่วยให้หลับได้เร็วและสนิทมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและสมาธิ

5. ผูกมิตรเพื่อนใหม่ แม้คุณจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ว่ากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานหรือแม้แต่กับแม่บ้าน ก็ไม่ควรละเลยการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ ด้วย เพราะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจมากขึ้นและเปิดโลกทัศน์ของตนเอง ที่สำคัญคือ เป็นผลดีต่อหัวใจ พบว่าคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมีความดันโลหิตต่ำกว่าคนไม่เข้าสังคม ซึ่งมักจัดการความเครียดด้วยวิธีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

6. ใกล้ชิดธรรมชาติ จะลงมือพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ หรือแค่เดินชมนกชมไม้ก็ให้ประโยชน์ทั้งนั้น ผลการศึกษาในอังกฤษพบว่า หากได้สูดกลิ่นไอดินจะทำให้สมองหลั่งสารความสุขชื่อ เซโรโทนิน” (serotonin) ออก มามากขึ้น ถ้าบ้านของคุณมีพื้นที่ไม่มากนักปลูกไม้ประดับหรือสมุนไพรไว้ในบ้านก็ได้ นอกจากสร้างความสดชื่นแล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารจานสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์อีกต่างหาก

7. ฟังเพลงขณะเดินทาง ฟังดนตรีจังหวะสบายๆ บรรเทาความเครียดได้ เพราะช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ป้องกันไม่ให้ระดับฮอร์โมนความเครียด ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงจนเกินไป ยิ่งร้องตามไปด้วยยิ่งส่งผลดี พบว่า การร้องเพลงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอล (cortisol) แถม ยังเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ นอกจากนี้ขณะร้องเพลงเราจะสูดหายใจลึกขึ้น จึงเพิ่มปริมาณออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างแอนติบอดีต่อสู้โรคหวัด

8. กินอาโวคาโด จะกินสดๆ หรือกินเมนูที่มีส่วนผสมของอาโวคาโดก็ดีต่อสุขถาพทั้งสิ้น เพราะในอาโวคาโดมีสารซึ่งช่วยฆ่าเซลล์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และปกป้องเซลล์ดีไม่ให้กลายเป็นเนื้องอก จึงเป็นปราการป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้อาโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล รวมถึงมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจอย่างวิตามินซีและอี เพื่อรสชาติอร่อยแปลกใหม่ ลองใส่อาโวคาโดในสลัดแทนชีสได้รสชาติหอมมันไม่แพ้กัน

9. ตุนอาหารมีประโยชน์ ผู้หญิงที่ทำอาหารกินเองบ่อยๆ มีแนวโน้มกินผักและผลไม้มากขึ้น และรับไขมันเข้าสู่ร่างกายน้อยลง เมื่อเทียบกับคนที่มักกินตามร้านหรือซื้อมากิน นั่นเพราะคุณสามารถเลือกส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมาใส่ในจานโปรดของคุณได้ ทุกสัปดาห์ ควรซื้อผักผลไม้สดและเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างเนื้อปลามาเก็บไว้ในตู้เย็น และเดือนละครั้ง หาอาหารแห้งมาตุนไว้ สิ่งที่ควรซื้อติดบ้าน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ น้ำมันมะกอก ปลาทูน่ากระป๋อง ซอสมะเขือเทศ เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งของกินเล่น ประเภทผลไม้อบแห้งและถั่วต่างๆ

10. ทำความสะอาดบ้าน บ้านช่องที่สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค นอกจากดีต่อสุขภาพกาย เพราะช่วยป้องกันคุณจาดโรคหวัดภูมิแพ้ และหอบหืดแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ดีด้วย พบว่า ๙๘ เปอร์เซนต็ของคนทั่วไปรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเมื่อบ้านสะอาด ดังนั้นเพียงจัดบ้านให้สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ก็ช่วยลดเครียดได้แล้ว

11. พักการดูโทรทัศน์บ้าง จะทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเลิกดูโทรทัศน์ไปเลย เพียงเลือกดูเฉพาะรายการที่อยากดูจริงๆ เท่านั้น พบว่าคนที่ไม่เปิดโทรทัศน์นานสองสัปดาห์มีแนวโน้มเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า จัดสรรหนึ่งวันในสัปดาห์ให้เป็น วันปลอดโทรทัศน์แล้ว ใช้เวลากับตนเอง ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงมากขึ้น โดยชวนกันไปออกกำลังกาย กินมื้อเย็น ไปเดินห้าง หรืออาจฉกฉวยช่วงเวลานี้ทำสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการขลุกอยู่กับหนังสือเล่มโปรด หรือขัดสีฉวีวรรณครั้งใหญ่ นอกจากรู้สึกผ่อนคลาย ผิวยังสวยขึ้นด้วย

12. วัดรอบเอว ไม่ใช่เพื่อรูปร่างที่ดูดีเท่านั้น แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย หากคุณมีรอบเอว ๓๕ นิ้วหรือเกินกว่านั้น แสดงว่าคุณมีไขมันหน้าท้องมากเกินไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง

เริ่ม วัดรอบเอวเดือนละครั้งตั้งแต่วันนี้ หากพบว่ามีขนาดเกินมาตรฐาน ควรหาหนทางลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เช่น ออกกำลังกาย ลดปริมาณอาหาร กินผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำ ฯลฯ

13. อยู่ใกล้ดอกไม้ การเห็นดอกไม้สดใกล้ๆ ตัว ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นและวิตกกังวลน้อยลง การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เพียงได้ชมดอกไม้ชั่วครู่ในตอนเช้าช่วยให้สดชื่นไปตลอดทั้งวัน นอกจากในบ้านแล้ว ควรหาดอกไม้มาประดับแจกันบนโต๊ะทำงานด้วย หากไม่ชอบดอกไม้ เปลี่ยนเป็นไม้กระถางต้นเล็กๆ ก็ได้ ทำให้คุณหายใจสะดวกขึ้น เพราะช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ที่มาของคำว่า ok

โอเค, ok, ที่มาของคำว่า ok, ความรู้รอบตัว, ความรู้

คนส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K. เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ไม่ว่าวัยใดก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?

จริง ๆ แล้วที่มาของคำนี้เป็นที่ถกเถียงกันมายาวนาน และยังไม่มีข้อสรุปอย่างแน่ชัด แต่หนึ่งในเรื่องราวที่นิยมกันคือเรื่องนี้

คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect ซึ่งที่ถูกต้องคือ All Correct ( แปลว่า ถูกต้อง )มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่การศึกษาน้อย ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติ เขาจะ เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้ มีความเจริญก้าวหน้ามาก งานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะ การที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

การหาวนอนช่วยให้ตื่นตัวได้


การหาวเป็นความพยายามของร่างกาย ที่จะป้องกันมิให้เกิดการหลับใน คงให้มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเอาไว้ นัก จิตวิทยาของมหาวิทยาลัยอัลบานีที่กรุงนิวยอร์ก พบว่า นักศึกษา 44 คน ที่หาวเป็นการปั๊มอากาศที่เย็นกว่าเข้าไปในสมอง เพื่อให้สมองคงสดชื่นตื่นตัว เพราะว่าสมองที่ได้รับอากาศเย็นจะทำงานคล่องขึ้น นักวิจัยได้พบระหว่างการศึกษาว่า นักศึกษาที่หายใจทางจมูกมากกว่าทางปาก มักจะไม่ค่อยหาว เมื่อดูวีดิโอหรือเห็นเพื่อนหาว เพราะเหตุว่าเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกได้ส่งอากาศเย็นไปเลี้ยงสมองอยู่เรื่อย ดังนั้น การหาวจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการหลับใน มากกว่าจะเป็นอาการเริ่มแรกของการง่วงนอน

ถ้าง่วงนอนอย่าลืมนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดี.

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

9 วิธี แก้โรคนอนไม่หลับ



อ่อน เพลียเนื่องจากนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และตื่นขึ้นด้วยอาการอิดโรยในตอนเช้า ต่อไปนี้คือวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยกำจัดความทุกข์ตอนนอนให้หายไป แล้วคืนนี้จะได้นอนหลับสบาย

1. งดเครื่องดื่มกาแฟ เป็นที่ทราบกันว่าคาเฟอีนมีสารกระตุ้นที่ทำให้นอนไม่หลับ แต่รู้ไหมว่าสารดังกล่าวยังตกค้างอยู่ในร่างกายอีกด้วย? ดัง นั้นทางที่ดี คือ กำจัดมันออกไปจากอาหารที่คุณกินหรืองดดื่มคาเฟอีนตั้งแต่มื้อเที่ยงเป็นต้น ไป อย่าลืมคาเฟอีนที่ซ่อนอยู่ในน้ำอัดลม และของว่างต่าง ๆ เช่น โค้ก ช็อกโกแลต เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นอนไม่หลับ อ่านฉลากข้างกระป๋อง และข้างถุงผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาคาโมมาย์ล หรือชาดอกมะนาว ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายแทนชาหรือกาแฟ เนื่องจากในชาทั้งสองชนิดนี้มีสารที่ช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น และปลอดคาเฟอีน


2. อาบน้ำก่อนนอน การแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูบเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

3. จัดห้องให้น่านอน แปลงโฉมห้องนอนให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นานๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ ทำห้องให้มีกลิ่นหอมด้วยการวางถุงกลิ่นลาเวนเดอร์ และแจกันดอกไม้สด จัดห้องนอนให้มีแสงสลัว ๆ โปร่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี หาอะไรปิดส่วนที่เรืองแสงของนาฬิกาปลุก ซึ่งนอกจากจะให้แสงสว่างเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เราหันความสนใจไปที่นาฬิกาตลอดทั้งคืน ตั้งเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิพอเหมาะ ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นสบายกำลังดี

4. สมุนไพรพึ่งได้ มี สมุนไพรหลายตัว โดยเฉพาะสมุนไพรจีนช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับได้ดี เช่น ถั่งเฉ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ มีสีเหลืองเป็นมันเงา ประกอบด้วยวิตามินบี 12 โปรตีน กรดไขมัน ทั้งอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว มีสรรพคุณช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสนิท พุทราจีน เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของคนจีน สามารถกินได้ทั้งสดและแห้ง แก้อาการนอนไม่หลับ เนื้อในเมล็ดช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้นอนหลับสบาย โสม จัดเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้รักษาโรคมากกว่า 2,000 ปี สารไบโอแอคทีฟ (bioactive) ใน โสมช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ และรักษาโรคความจำเสื่อม ลดความเครียด ดอกไม้จีนหรือจำฉ่ายเป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ เกสรดอกไม้จีนมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สดชื่น และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ จึงช่วยให้หลับสบาย

5. ยืดเส้นยืดสาย คนที่เคลื่อนไหวร่างกายขณะทำงานในระหว่างวัน จะมีปัญหาในการนอนน้อยกว่าคนที่นั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะทำงาน การออกกำลังกายแค่วันละ 15 นาที จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น ระหว่างวันควรออกไปเดินเล่นในสวน หรือเดินยืดเส้นยืดสายหลังอาหารเย็น หลังเดินออกกำลังแล้ว ให้พักประมาณครึ่งชั่วโมง จึงค่อยเข้านอน ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจและร่างกายทำงานช้าลงก่อนถึงจะสามารถเข้า นอนได้

6. กินอย่างถูกต้อง การเข้านอนขณะท้องหิว หรืออิ่มแปล้จะไปรบกวนการนอน ซึ่งรวมถึงการกินอาหารก่อนนอนด้วย ไม่ควรกินอาหารเย็นหลัง 2 ทุ่ม และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเหลี่ยงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะจะเป็นเหมือนยาชูกำลังที่ไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมน ที่ทำให้ร่างกายเกิดความคึกคัก กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อาหารเย็นควรเป็นข้าว มันฝรั่ง พาสต้า ผัก ที่มีรากเป็นลำต้นใต้ดิน ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ทำให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ที่ช่วยในการนอนหลับ

7. เอนตัวลง และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เปิดเพลงทำนองเบาๆ ฟังสบายๆ ขณะนอน หรือจะเปิดเทปบันทึกเสียงธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เช่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปิดไฟในห้องนอน นอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ปล่อยให้เสียงนั้นขับกล่อมคุณ จากนั้นหายใจลึกๆ ช้าๆ เพ่งสมาธิไปที่แขนขาแต่ละข้าง โดยเริ่มจากที่เท้า จินตนาการว่าแขนขานั้นจมหายลงไปในเตียง ควรใช้เครื่องเล่นเทป หรือซีดีที่ปิดเองอัตโนมัติ เพราะจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาปิดเวลาเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ

8. ลุกขึ้นเดิน หากตื่นขึ้นกลางดึก และไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ภายใน 30 นาที จงลุกขึ้น อย่านอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา รอเวลาจนเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด อย่าเปิดทีวี อ่านหนังสือ หรือนั่งบนเตียงคิดเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในสมอง แม้นั่นจะเป็นวิธีฆ่าเวลายามนอนไม่หลับ แต่ไม่ควรทำ คุณจำเป็นต้องฝึกให้ร่างกายรับรู้ว่าเตียงนอนใช้เป็นที่สำหรับนอน แม้ว่าสิ่งที่คุณทำบนเตียงจะเป็นกิจกรรมสบายๆ ประเภทดูหรือฟังก็ตาม เพราะนั่นสามารถเข้าไปกระตุ้น หรือรบกวนจิตใจได้ หากตื่นขึ้นกลางดึก ให้ลุกจากเตียงไปเอนหลังบนโซฟา หรือเก้าอี้ตัวโปรดที่นั่งสบายๆ หลับตาลง ทำจิตใจให้สบายจนรู้สึกง่วงแล้วจึงค่อยลับไปนอนที่เตียง

9. มหัศจรรย์แห่งนม ตอนเด็กๆ แม่จะให้เราดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน เพราะในนมมีกรดอะมิโนที่เรียกว่า ทรัยป์โตฟาน ช่วยให้นอนหลับสบาย และยังมีแคลเซียมสูง ช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้จิตใจสบาย บางคนบอกว่าการดื่มนมอุ่นๆ ช่วยคลายเครียด และหายอ่อนเพลีย จากการศึกษาวิจัยพบว่า เมลาโทนิน (melatonin) ช่วยให้นอนหลับ โดยเฉพาะนมที่รีดจากแม่วัวตอนเช้ามืด เพราะเป็นช่วงเวลาที่นมวัวมีเมลาโทนินสูงสุด

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ดื่มน้ำมากๆ จะทำให้ผิวชุ่มชื้น จริงไหม



หลายคนเชื่อว่าการดื่มน้ำมากๆ จะยิ่งทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก? รศ.พญ.พรทิพย์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง ดื่มน้ำมากก็ยิ่งปัสสาวะออกมาก ขอเรียนว่า ผิวหนังที่แห้ง ไม่ได้แห้งเพราะขาดน้ำ แต่เป็นเพราะหนังชั้นขี้ไคลเสื่อม ไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ ทำให้แผ่นผิวหนังขี้ไคลที่ควรจะเรียบ แห้งแตก ดังนั้น ไม่ว่าจะดื่มน้ำในปริมาณมากเพียงใด ก็ไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ดื่มน้ำแร่ ดีจริงหรือ

น้ำแร่, ประโยชน์ของน้ำแร่, สุขภาพ, เกลือแร่, แร่ธาตุ

ขึ้นชื่อว่าน้ำแร่ใครก็ต้องคิดว่าดี มีประโยชน์ แต่ที่จริงแล้ว น้ำแร่ก็คือน้ำดื่มธรรมดาที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของเกลือแร่ที่ละลายน้ำได้ เช่น โซเดียมคลอไรด์ โซเดียมคาร์บอเนต โซเดียมไบคาร์บอเนต โพแตสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม ถึงแม้ว่าปรืมาณแร่ธาตุค่อนข้างต่ำ แต่ก็ยังมากกว่าน้ำดื่มทั่วไป

ในสมัยก่อนคนในยุโรปนิยมดื่มน้ำแร่ที่ละลายจากหิมะเพราะเชื่อว่าสะอาด มีส่วนผสมของแร่ธาตุปนอยู่ และยิ่งเห็นว่าเกลือบางตัวรักษาโรคได้ยิ่งมีความเชื่อถือน้ำแร่ไปใหญ่ ในประเทศไทยก็มีเความเชื่อเช่นกัน นั่นเพราะในแอ่งน้ำแร่มีพวกกำมะถันซึ่งรักษากลากเกลื้อนเชื้อราที่ผิวหนัง ได้ จึงเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ผิวพรรณดี และเป็นที่มาของพวกนางงามที่ต้องไปอาบน้ำแร่ แช่น้ำนมกัน น้ำแร่ที่ดีมีคุณภาพในปัจจุบันต้องเน้นที่ความสะอาด ปราศจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมเจือปน และควรระบุปริมาณเกลือแร่และสารที่โฆษณาว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพื่อจะได้ตรวจสอบได้ว่าไม่ใช่เอาน้ำประปามาบรรจุใหม่ ควรจะผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรค จะเป็นการผ่านรังสีอุลตร้าไวโอเลตหรือโอโซนก็แล้วแต่ เพื่อให้แน่ใจเรื่องความสะอาด เมื่อไม่นานนี้คณะกรรมการอาหารและยา สุ่มตรวจตัวอย่างน้ำแร่ประมาณ 10 ยี่ห้อ ปรากฏว่า 6 ใน 10 ยี่ห้อยังไม่ได้มาตรฐานเรื่องความสะอาด

ดังนั้นการเลือกน้ำแร่ก็ควรเลือกยี่ห้อที่มีเครื่องหมายผ่านการ ตรวจสอบจากกระทรวงสาธารณสุข และมีฉลากระบุส่วนผสมเกลือแร่ พร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้เสมอว่าไม่ใช่น้ำแร่ปลอม

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

เล่นสงกรานต์อย่างไรให้ปลอดภัย



แนะแต่งกายเหมาะสม วางแผนเดินทาง ดื่มไม่ขับ

สงกรานต์ปีนี้ไปไหนดีครับ! นี่อาจเป็นคำเชิญชวนที่ดูดีน่าฟัง แต่ปีที่แล้ว คนที่พูดคำๆ นี้ ถึง 361 คน ไม่มีโอกาสได้เที่ยวสงกรานต์อีกเลยและอีกเกือบ 5,000 คนถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล มีบาดเจ็บสาหัสจนถึงพิการกันก็ไม่น้อย แล้วคุณล่ะปีนี้จะไปเที่ยวสงกรานต์กันที่ไหนดี เอาเป็นว่าประเพณีสงกรานต์แต่เดิมนั้นเป็นประเพณีที่ดีงามครับ แต่ทว่าปัจจุบันชักจะไม่แน่ใจซะแล้วครับว่ายังดีงามกันอยู่จริงหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็เลยอยากจะชวนท่านที่กำลังคิดจะเที่ยวสงกรานต์ปีนี้มาตั้งโจทย์ร่วมกันดี ไหมครับว่า "เราจะเที่ยวสงกรานต์ปีนี้ให้ปลอดภัยได้อย่างไร" ชักน่าสนใจเพราะผลจากการทำงานปีที่แล้วของภาคีเครือข่ายลดอุบัติเหตุ หลายฝ่ายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ก็ดื่มกันมากแล้วก็มาขับรถเร็ว จะเหลือหรือพี่" เราทำกันเต็มที่อดหลับอดนอนกันทั้งวันทั้งคืน เขาเที่ยวสนุกกันแต่เราต้องเฝ้าแต่จุดตรวจ...ฟังแล้วก็เลยอยากจะถามต่อละ ครับว่าแล้วจะเป็นอย่างนี้กันทำไม สรุปว่าถึงเวลาแล้วครับที่คนที่ต้องเดินทางทุกคนต้องช่วยกันคิดล่ะครับว่า เราจะเอาตัวเราเองและครอบครัวของเรารอดพ้นจากอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างไร

1.เตรียมรถ, เตรียมคน, วางแผนการเดินทางให้พร้อม...มันเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้

2. แต่งกายให้เหมาะสม อย่าล่อไอ้เข้ อยู่ในที่ควรอยู่ ไปในที่ควรไป...ปลอดภัยก่อนดีกว่าไหมครับ! คงไม่ต้องตอบน่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรแล้วใครจะตอบ แต่วันนี้มีข้อเสนอดีๆ มาฝากครับ (ปล.เฉพาะคนที่อยากมีโอกาสเที่ยวสงกรานต์ในปีต่อๆ ไปเท่านั้น) ในเบื้องต้นควรเริ่มจากแนวความคดก่อนว่าท่านจะ "เล่นสงกรานต์อย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุต้องปลอดแอลกอฮอล์" นี่คือจุดเริ่มต้นของความปลอดภัย แล้วมาออกแบบร่วมกันว่าต้องทำอย่างไรต่อ เอาอย่างนี้ดีไหมครับ

ก่อนเดินทางวางแผนกันหน่อยจะไปไหนดี ที่นั่นปลอดภัยไหม (ขึ้นเขา ลงห้วยหรือเปล่า เราเคยชินกับเส้นทางนั้นไหม) จะเอารถอะไรไป (สภาพรถไหวไหม) แล้วจะพาใครไปบ้าง (กี่คนดี) แล้วอะไรบ้างควรหลีกเลี่ยง (การแต่งกายยั่วยวน ชวนให้ถูกลวนลาม, ไป หรืออยู่ในที่ที่ไม่ควรไป) แล้วพฤติกรรมใดต้องห้ามเด็ดขาด อันนี้สำคัญ ปีที่แล้วเฉพาะคนที่ดื่มสุราแล้วขับรถเป็นเหตุให้บุคคลอื่นที่ ร่วมเดินทางไปด้วยบาดเจ็บเสียชีวิตมีถึงเกือบร้อยละ 40 ถามจริงๆเถอะท่านทราบหรือเปล่าครับว่าคนขับดื่ม...แล้วก็เมา ถึงคนเมาส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าเมาแต่คนที่ไปด้วยรู้ดีใช่หรือเปล่าว่าเขานะ ไม่เหมาะที่จะขับเพราะอาการมันออก แล้วยังปล่อยให้เขาขับรถอีกหรือ! เกรงใจ, ไม่รู้จะทำอย่างไร, ห้ามแล้วไม่ฟัง, ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้, อะไร กันแก้วเดียว...สารพัดคำพูดหลังเกิดเหตุทั้งนั้นเลย ไม่มีประโยชน์หรอกครับถ้าก่อนเกิดเหตุไม่คิดก่อน อย่ามัวเกรงใจหรือยอมไปกับคนที่ดื่มครับแล้วเราจะอยู่รอด

3.อย่าซ้อนคนดื่ม หรือปล่อยให้คนดื่มขับรถโดยเด็ดขาด...ตายแน่นอน

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

กำเนิดไอศกรีมโคน


ไอศกรีมโคนทำให้พวกเราเอร็ดอร่อยทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนคิดค้นไอศกรีมโคนขึ้นมาให้เรากิน

ต้นกำเนิดการค้นพบโคน..ยังสับสนอยู่หลายตำนาน บ้างก็ว่า ชาวอิตาเลียนอพยพ ชื่อนาย อิตาโล มาร์ชิโอนี ผู้จดสิทธิบัตรถ้วยวาฟเฟิลที่กินได้ในปี ค.ศ.1903

เขาบอกว่าเขาทำโคนมาตั้งแต่ 22 กันยายน ค.ศ.1886 เพื่อเสิร์ฟกับไอสกรีม ที่ถนนวอลล์สตรีท ในกรุงนิวยอร์ก

แต่แมรี่ ลู เมนช์ส บอกว่าคนที่คิดค้นเป็นปู่ของเธอเอง ชื่อ ชาร์ลส์ โรเบิร์ต และน้องชาย ทั้งคู่คิดค้นไอศกรีมโคนขึ้นมาในปี ค.ศ. 1904 ตอนขายไอศกรีมอยู่ในงานเทศกาลที่เซนต์หลุยส์ มิสซูรี

"...มีเรื่องเล่ามากมายเลยค่ะ บางคนบอกว่าจานสำหรับใส่ไอศกรีมหมด และเนื่องจากร้านขายไอศกรีมอยู่ติดกับร้านวาฟเฟิล (ขนมรังผึ้ง) พวกเขาก็เลยตักไอศกรีมใส่วาฟเฟิลแทน และมันก็เข้าท่าดี"

มีตำนานอีกเรื่องคล้ายๆ กันคือชาย ชื่อฮัมวี เป็นคนอบขนมปังอพยพ ชาวซีเรียที่อ้างว่าไปขายขนมในงานเดียวกัน เขาได้ความคิดตอนที่ร้านขายไอศกรีมที่อยู่ข้างๆ จานหมด !! เขาเลยม้วนเวเฟอร์ของเขาที่เรียกว่า ซาลาเบีย ตอนที่ยังร้อนๆ แล้วปล่อยให้เย็นเพื่อขายให้ร้านไอศกรีมเอาไปใส่ไอศกรีม

แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนคิดค้น ... ไอศกรีมโคนก็ทำให้เราอร่อยกับไอศกรีมได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง



วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

กำเนิดประเพณีสงกรานต์

ประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงามฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนคำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนย้ายยมาช้านาน การย้ายของพระอาทิตย์เข้าไปจักรราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้ หมายเฉพาะวันและเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่า นั้น

ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์

กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบ ประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ

นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร

เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ “ท้าวกบิลพรหม” ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า

1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด

เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า “พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร” นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง

ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน

ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต

นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365 วัน โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขา พระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไปเทวโลก

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

หวัดร้อน หวัดเย็น แตกต่างกันอย่างไร



แพทย์จีนแผนโบราณคิดว่า ในร่างกายมนุษย์ต้องมีสมดุลของ หยิน – หยาง ร้อน - เย็น ถ้าเสียสมดุลไปก็จะเกิดโรค กรณีของโรคหวัดแพทย์จีนจะมีทั้งหวัดร้อน และหวัดเย็น แยกตามอาการดังนี้

  • ถ้า มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล มีไข้ต่ำๆ เสมหะสีเหลืองข้น ปวดหัว ปัสสาวะมีสีเข้มกว่าปกติ หงุดหงิด ไม่สบาย ครั่วเนื้อครั่นตัว แสดงว่าเป็น " หวัดเย็น "

  • ถ้าเป็นหวัดแล้วมีอาการหนาวสะท้าน ซึม อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น น้ำมูกใส เสมหะใส ปัสสาวะมาก แสดงว่าเป็น " หวัดร้อน "

ลักษณะของอุจจาระก็บอกได้ เช่นกันว่า เรามีอาการร้อนหรือเย็นมากเกินไป

  • ถ้าอุจจาระเป็นก้อนแข็ง สีเข้ม กลิ่นเหม็นผิดปกติ แสดงว่ามีอาการร้อน

  • ถ้าอุจจาระเหลว ท้องร้วง แสดงว่ามีอาการเย็น

เมื่อร่างกายป่วยจากการเสียสมดุล ร้อน-เย็น ตามหลักแพทย์แผนจีนจึง ปรับสมดุลคืนมาด้วยการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ตรงกันข้าม ส่วนวิธีดูว่าอาหารใดมีฤทธิ์ใด ให้สังเกตจากรสชาติ

  • ถ้ากินผลไม้หรืออาหารชนิดใดมากๆแล้วรู้สึกคอแห้ง เจ็บคอ ก็แสดงว่ามี ฤทธิ์ร้อน

  • ถ้ากินผลไม้หรืออาหารชนิดใดแล้วชุ่มคอ กินมากๆท้องอืดแน่นหน้าอก ก็แสดงว่า เป็นอาหาร ฤทธิ์เย็น

  • อาหาร ฤทธิ์เย็น มะระ ฟักเขียว บวบ ไช้เท้า ผักกาดขาว หน่อไม้ ดอกไม้จีน รากบัว ผักบุ้ง มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย เห็ดหูหนู เห็ดฟาง ถั่วเขียว ทับทิม เก๊กฮวย ส้ม บัวบก ส้มโอ แตงโม สับปะรด อ้อย มะขาม มะละกอ สาลี่ แห้ว แอ๊ปเปิ้ล มังคุด หอย ปลาไหล

  • อาหารฤทธิ์ปานกลาง - ข้าว ข้าวโพด เม็ดบัว น้ำผึ้ง

  • อาหารฤทธิ์ร้อน - ข้าวเหนียว หอม กระเทียม พริก พริกไทย ขิง ข่า กะเพรา โหระพา ตะไคร้ เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ ทุเรียน ขนุ

ที่มา: หนังสือ ชีวจิต ปีที่ 4 ฉบับที่ 80 1 กุมภาพันธ์ 2545 คอลัมน์ รู้เรา-รู้โรค หน้า 12 โดย ส้มจี๊ด

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

8 วิธีกินเส้นเน้นสุขภาพ

บะหมี่, บะหมี่บีทรูท, อาหาร, สุขภาพ, ร่างกาย

+ การใส่บะหมี่ในน้ำ พร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาที จนเดือด เป็นวิธีที่ผิดเพราะจะทำเส้นบะหมี่สำเร็จรูปซึ่งเคลือบด้วย Wax ผสมผงชูรสกลายสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งร่ายกายต้องใช้เวลา 4-5 วันในการขับออกจากร่างกาย

+ วิธีต้มที่ถูกต้อง คือ เทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด เมื่อบะหมี่สุกแล้ว เทน้ำที่ต้มซึ่งมีส่วนผสมของ Wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้ง ต้มน้ำใหม่ให้เดือดอีกครั้ง และใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้ลงไป ปิดไฟ แล้วจึงใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน เพื่อป้องกันผงชูรสในเครื่องปรุงกลายเป็นสารพิษ สำหรับบะหมี่แห้งสามารถใส่เครื่องปรุงได้ทันที เมื่อช้อนเส้นขึ้นจากน้ำเดือด

+ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี พบว่า มีการเติม กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก สารกันบูดเกินปริมาณกำหนดของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) คือ มากกว่า 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด รองลงมาเป็นเส้นหมี่ ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก บะหมี่โซบะ และก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ หากร่างกายได้รับในปริมาณสูงเป็นเวลานานๆ จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง

+ บะหมี่บีทรูทอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สารไนเตรต สารเบทานิน ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง คุณสมบัติพิเศษกว่าผักชนิดอื่นคือ ไม่ว่าผ่านการปรุงหรือถนอมอาหารแบบใดก็ยังคงความสดและคุณค่าได้ดี โดยนำส่วนประกอบของบีทรูทเข้ามาแทนที่ของน้ำเปล่า นอกจากคุณค่าอาหารจะเพิ่มขึ้นแล้ว บะหมี่ยังมีสีชมพูน่ากินอีกด้วย สนใจดูแลสุขภาพในปัจจุบัน ฉัตรทิพย์ เจ้าของเมนูได้ที่เบอร์ 085-899-81220

+ คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก จนงดกินข้าวเพราะอ้างว่า ต้องการงดคาร์โบไฮเดรต ที่จะทำให้อ้วนได้ไม่แพ้ไขมันนั้นควรอย่างยิ่งที่จะกินบะหมี่บ้าง เพราะบะหมี่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับก๋วยเตี๋ยว สปาเกตตี มะกะโรนี และโรตี คุณสามารถกินได้บ่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะอ้วน เพราะบะหมี่เป็นคาร์โบไฮเดรตละเอียด มีคุณสมบัติย่อยง่ายกว่าคาร์โบไฮเดรตชนิดธรรมดา

+ ตอนเลือกซื้อต้องสังเกตบนซอง ว่ามีสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ อยู่ด้วย เมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผัก ลงไปทุกครั้ง ที่สำคัญต้องไม่ลืมฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ทุกครั้ง ที่ปรุง ใส่น้ำให้พอดี ซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี เพราะเท่ากับว่า ได้รับสารอาหาร 3 ชนิดเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่

+ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะทางในการกิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์คือ ลดเครื่องปรุงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่านั้น เติมเนื้อสัตว์และผักเพื่อให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น และไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดต่อกันประจำเป็นเวลานาน เพราะจะเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไปจนเกิดการสะสมในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง

+ ปัจจุบันได้มีการวิจัยบะหมี่สูตรลดความอ้วน โดยช่วยให้อิ่มนาน ทั้งยังดูดซับคอเลส-เตอรอลส่วนเกินในลำไส้และช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วย โดยลดส่วนผสมปริมาณแป้งสาลีในบะหมี่ 1 ก้อน ซึ่งหนักประมาณ 50 กรัม ให้น้อยลง และเติมสารเพคตินที่สกัดได้จากเปลือกมะนาวเข้าไปประมาณ 6 กรัมเพื่อให้ออกฤทธิ์สลายคอเลสเตอรอลในกระเพาะอาหาร เมื่อสารเพคตินเข้าสู่กระเพาะอาหารจะพองตัวและแปรสภาพเป็นสารอาหารที่มีความ หนืดคล้ายแยมทาขนมปัง ช่วยให้อิ่มนานกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วไป ทั้งยังออกฤทธิ์ต่อเอนไซม์ในลำไส้ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงาน ปกติ จากการทดสอบในอาสาสมัคร พบว่า รอบเอวลดลงประมาณ 2 นิ้ว บะหมี่ลดน้ำหนักที่พัฒนาขึ้นมีอยู่ 2 รสชาติ คือ รสแกงส้มและรสต้มขมิ้น ในรูปของบะหมี่เจผ่านการรับรองจาก คณะกรรมการอาหารฮาลาล และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะผลิตบะหมี่ออกมาจำหน่ายไม่เกินปีหน้า ชาวจีนโบราณเชื่อว่าการกินเส้นบะหมี่เป็นการเสริมมงคล แต่สมัยนี้ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆ ก็ควรต้องกินให้ถูกวิธี ถูกหลักอนามัยด้วย ชีวิตของคุณจึงจะยืดยาว

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

วันกองทัพอากาศ




กิจการบินของไทย เริ่มต้นในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีชาวต่างประเทศ ได้นำเครื่องบิน มาแสดงให้ชาวไทย ได้ชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2454 อันทำให้ ผู้บังคับบัญชา ระดับสูง ของกองทัพ ในสมัยนั้น พิจารณาเห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเครื่องบิน ไว้เพื่อป้องกันภัย ที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ ในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กระทรวงกลาโหม จึงได้ตั้ง "แผนกการบิน" ขึ้นในกองทัพบก พร้อมทั้งได้คัดเลือกนายทหารบก 3 คน ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสม ไปศึกษาวิชาการ ณ ประเทศฝรั่งเศส อันได้แก่ พันตรีหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ร้อยเอกหลวงอาวุธสิขิกร และ ร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ทั้ง 3 ท่านนี้ ในเวลาต่อมา ได้รับพระราชทานยศ และบรรดาศักดิ์ ตามลำดับ คือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ, นาวาอากาศเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และ นาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต และ กองทัพอากาศได้ยกย่องให้เป็น "บุพการีของกองทัพอากาศ"

ในขณะที่นายทหารทั้งสามกำลังศึกษาวิชาการบินอยู่นั้นทางราชการ ได้สั่งซื้อเครื่องบิน รวมทั้ง มีผู้บริจาคเงินร่วมสมทบซื้อด้วยเป็นครั้งแรก จำนวน 8 เครื่อง คือเครื่องบินเบรเกต์ปีก 2 ชั้น จำนวน 4 เครื่อง และ เครื่องบินนิเออปอรต์ปีกชั้นเดียว จำนวน 4 เครื่อง อันอาจกล่าวได้ว่า กำลังทางอากาศของไทย เริ่มต้นจากนักบินเพียง 3 คน และเครื่องบินอีก 8 เครื่องเท่านั้น การบินของไทยในระยะแรก ได้ใช้สนามม้าสระปทุม หรือราชกรีฑาสโมสรในปัจจุบัน เป็นสนามบิน แต่ด้วยความไม่สะดวกหลายประการ บุพการีทั้ง 3 ท่าน จึงได้พิจารณาหาพื้นที่ ที่มีความเหมาะสมต่อการบิน และได้เลือกเอาตำบลดอนเมือง เป็นที่ตั้งสนามบิน พร้อมทั้งได้ก่อสร้างอาคาร สถานที่โรงเก็บเครื่องบินอย่างถาวรขึ้น เมื่อการโยกย้ายกำลังพล อุปกรณ์ และเครื่องบิน ไปไว้ยังที่ตั้งใหม่เรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2457 กระทรวงกลาโหม จึงได้สั่งยกแผนกการบินขึ้นเป็น "กองบินทหารบก" ซึ่งถือได้ว่า กิจการการบินของไทย ได้วางรากฐานอย่างมั่นคงขึ้นแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมา กองทัพอากาศจึงถือเอา วันที่ 27 มีนาคม ของทุกปีเป็น "วันที่ระลึกกองทัพอากาศ"

นับแต่นั้นมา บทบาทของกำลังทางอากาศ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญ และมีการพัฒนาอย่างเป็นลำดับ นับตั้งแต่การเข้าร่วมรบ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 กับพันธมิตรในยุโรป เมื่อปี พ.ศ. 2460 ซึ่งทำให้ชื่อเสียงและเกียรติภูมิ ของชาติ เป็นที่ยอมรับ และยกย่อง เป็นอันมาก และทางราชการได้ยกฐานะ กองบินทหารบกขึ้นเป็น "กรมอากาศยานทหารบก" ในเวลาต่อมา กำลังทางอากาศ ได้พัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และเป็นกำลังสำคัญ ในการพัฒนาประเทศชาติทางด้านต่างๆ อันเป็นรากฐาน ของกิจการหลายอย่างในปัจจุบัน อาทิ การบินส่งไปรษณีย์ทางอากาศ การส่งแพทย์ และเวชภัณฑ์ทางอากาศ เป็นต้น

ในปี พ.ศ. 2464 กระทรวงกลาโหม ได้พิจารณาเห็นว่า กำลังทางอากาศ มิได้เป็นกำลังเฉพาะในด้านยุทธศาสตร์ทางทหารเท่านั้น แต่มีประโยชน์ อย่างกว้างขวางต่อกิจการด้านอื่นๆ อีกด้วย จึงได้แก้ไขการเรียกชื่อจาก กรมอากาศยานทหารเป็น "กรมอากาศยาน" และเป็น "กรมทหารอากาศ" ในเวลาต่อมา โดยให้อยู่ในบังคับบัญชาของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยตรง พร้อมทั้งได้มีการกำหนดยศทหาร และการเปลี่ยนแปลงเครื่องแบบ จากสีเขียว มาเป็นสีเทา ดังเช่นปัจจุบัน วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2480 กรมทหารอากาศได้ยกฐานะเป็น "กองทัพอากาศ" มีนาวาอากาศเอก พระเวชยันต์รังสฤษฎ์ เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศคนแรก กองทัพอากาศ จึงได้ถือเอาวันที่ 9 เมษายน ของทุกปีเป็น "วันกองทัพอากาศ"

กำลังทางอากาศ ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย และได้เป็นกำลังสำคัญในการปกป้อง รักษาอธิปไตยของชาติ อาทิ สงครามกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส และสงครามมหาเอเชียบูรพา รวมทั้งเข้าร่วมกับกองกำลังสหประชาชาติ ในสงครามเกาหลี และร่วมกับพันธมิตร ในสงครามเวียดนาม จากเครื่องบินใบพัดเพียง 8 เครื่องในอดีต จนมาถึงเครื่องบินไอพ่นที่ทันสมัย ในปัจจุบัน กองทัพอากาศ ขอยืนยัน ที่จะดำรงความมุ่งมั่นในภารกิจ ที่จะพิทักษ์ รักษาเอกราช และอธิปไตยของชาติ ไว้ให้มั่นคงสถาพตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

ใช้คอมฯ นานเสี่ยง โรคซีวีเอส

ซีวีเอส, คอมฯ, คอมพิวเตอร์, คีย์บอร์ด, คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม
ปัจจุบันไม่ว่าจะทำงานอะไร อาชีพอะไร ส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์แทบทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป้นเครื่องมือที่เอื้ออำนวยความสะดวกได้หลากหลาย จนบางคนแทบจะขาดไม่ได้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า!! บนความสะดวกสบายนี้สามารถ “ทำลาย” สุขภาพคุณโดยไม่รู้ตัว หากใช้มันอย่างผิดวิธีหรือใช้นานจนเกินไป...

ไม่ต้องสงสัย?? ...เพราะ หลายคนอาจกำลังมีอาการ ปวดที่กระดูกข้อมือ กล้ามเนื้อ ตามต้นคอ หัวไหล่ สะบักรวมถึงหลัง หรือมักมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว หากใช้สายตาจ้องหน้าจอนาน ๆ และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัว ซึ่งนั่นแสดงว่าคุณกำลังเป็น “โรคซีวีเอส” หรือ “คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม” โดย บริเวณที่เกิดอาการอาจคลำพบกล้ามเนื้อแข็งตึงและอาจมีจุดกดเจ็บ ทำให้เมื่อเคลื่อนไหวแล้วอาจพบอาการเจ็บปวดมากขึ้น แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ของแต่ละคน ด้วย

ซึ่งสาเหตุของโรคนี้มาจาก การติดตั้ง จัดวาง คีย์บอร์ด จอมอนิเตอร์ เม้าส์ และเก้าอี้ ตลอดจนการปรับระดับแสงที่ไม่เหมาะสม ส่ง ผลให้เราเกิดอาการอย่างที่กล่าวมานี้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปรับสภาพแวดล้อมในโต๊ะทำงานใหม่ให้เหมาะสมกับร่าง กายของเรา ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหรือความเมื่อยล้าจากการทำงานลงได้ สามารถทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มจาก...

คีย์บอร์ด หลายคน คงไม่คิดว่า แค่คีย์บอร์ดจะทำให้เจ็บป่วยอะไรได้มากมาย แต่หากคุณใช้ไม่ถูกวิธีล่ะก็...จะส่งผลให้คุณมีอาการปวดไหล่ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ ระยะยาว อาจจะทำให้คุณเกิดปัญหาปวดข้อมือเรื้อรังได้ บางคนอาจเป็นถึงขั้นนิ้วล๊อก ต้องทำการผ่าตัดกันเลยทีเดียว บางคนอาจจะเห็นว่ามันจะไม่สำคัญ หรืออาจจะไม่รู้สึกเจ็บป่วย แต่ก็ควรเรียนรู้เกี่ยวกับ วิธีการป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า

การวางคีย์บอร์ดที่ ถูกต้องนั้น แขนต้องอยู่ในมุมตั้งฉาก ไม่สูงเกินไป หรือไม่ต่ำจนเกินไป ไหล่ไม่ห่อ ถ้าคุณเป็นคนไหล่กว้างขอแนะนำให้คุณใช้คีย์บอร์ดแบบแยก เพราะมันจะให้คุณทำงานได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ปล่อยให้ข้อมืออยู่เป็นธรรมชาติอย่างอขึ้นหรืองอลง ส่วนลำตัวให้อยู่บริเวณส่วนกลางของคีย์บอร์ดอย่าเอียงไปทางซ้ายหรือขวามาก เกินไป..

จอคอมพิวเตอร์ก็เช่นกันอาจทำให้คุณปวดข้อ ปวดไหล่ หรือเกิดอาการแสบตาได้ ซึ่งการวางจอในลักษณะที่ถูกต้องนั้นควรเริ่มจากตั้งจอให้อยู่ตรงกลาง ด้านบนของจอมอนิเตอร์อยู่ในระดับสายตาของคุณ ปรับหน้าจอให้แหงนขึ้นเล็กน้อย เพราะจะทำให้คุณไม่เมื่อยคอในการเอียงคอดูจอ อย่าให้มีแสงสะท้อนบนหน้าจอ พยายามนั่งห่างจากจอประมาณ 1 ช่วงแขน หากคุณมีจอใหญ่กว่า 20 นิ้ว ก็ควรถอยห่างออกไปอีก ก็จะเป็นการดีและเป็นการถนอมสายตาด้วย และที่สำคัญควรพักเบรกสายตาเป็นพักๆ หากต้องอยู่กับคอมนานๆ

เม้าส์ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณมีอาการเจ็บป่วย เพราะการทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือมีการเกร็งอวัยวะใดซ้ำๆ กัน ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่โพรงกระดูกข้อมือได้ ขณะที่เคลื่อนไหวข้อมือ ขนาดของโพรงกระดูกข้อมือก็มีการเปลี่ยนแปลง สร้างความกดดันให้กับเส้นประสาทตรงกลาง ถ้าคุณทำงานตลอดวัน โดยที่ข้อมืองอและกดทับบนโต๊ะ ก็สามารถทำให้เส้นเอ็น หรือเส้นประสาทที่ข้อมือเกิดอาการปวดได้ ในระยะยาวอาจทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งนำไปสู่การปวด ชา และปวดรุนแรงที่นิ้วมือได้ ซึ่งวิธีที่จะทำให้ลดอัตราการเกิดอาการเหล่านั้นได้ ไม่ต่างจากคีย์บอร์ดมากนัก ที่สำคัญควรหาวัสดุนิ่มๆ มารองเพื่อลดแรงเสียดสีและกดทับเส้นประสาท

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้!!! ยังมี เก้าอี้ ที่คุณใช้นั่งทำงานเป็นกันวันๆ อีก ที่มีส่วนในการทำลายสุขภาพของคุณ ซึ่งเก้าอี้ที่ดีนั้นเวลาคุณนั่งจะรู้สึกสบาย พนักพิงควรราบไปกับหลัง ปรับระดับความสูงได้ ควรนั่งพิงพนักให้เต็ม และเก้าอี้ควรมีขนาดพอดีตัวไม่เล็กเกินไป เบาะก็ควรจะขนานกับพื้น นั่งให้เป็นมุม 90 องศา หัวเข่าตั้งฉากกับพื้น ฝ่าเท้าแนบขนานกับพื้น นั่งให้ตัวตรง และที่สำคัญควรเดินไปทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดอาการเมื่อยล้า

เห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า...โรคภัย...มีอยู่รอบตัวเรา เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว!! คุณคงจะไม่รีรอที่จะจัดการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมบนโต๊ะทำงานของคุณเสียใหม่โดยเร็ว เพื่อจะได้ห่างไกลบ่อนทำลายสุขภาพ...

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

10 ความเข้าใจผิดๆ กับเรื่องอาหาร

คนส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อเรื่องอาหารแตกต่างกัน ซึ่งบางทีก็จริงบ้าง ผิดบ้าง วันนี้เลยเอาความเชื่อที่บางคนคิดว่าถูกแต่จริง ๆ แล้วมันผิดมาฝากกัน..

1.งดมื้อเช้า
ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป

2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย
ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ

3.หลังออกกําลังกาย
ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ

4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ

5.เชื่อมั่นในฉลาก
อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ

6.กินน้อยๆ
คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอ กับ ที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ

7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ

8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย
ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วยละ

9.ไดเอ็ทแบบอดๆ
แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ

10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ
หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ

เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้วก็ควรจะเลือกเชื่อความคิดผิด ๆ เหล่านี้นะคะ แล้วทำสิ่งที่ถูกจะดีกว่า...

วันอนามัยโลก



องค์การอนามัยโลก นับเป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้ง ที่ 2 โดยการดำเนินงานของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมขององค์

การสหประชาชาติ โดยอาศัยแนวความคิดและการดำเนินงานขององค์การที่เกี่ยวข้องกับการอนามัยที่ มีมาก่อน เช่น คณะมนตรีด้านอนามัย สำนักงานสาธารณสุขระหว่างประเทศและองค์การอนามัยแห่งสันนิบาตชาติ

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและสังคมขององค์การสหประชาชาติ ได้จัดให้มีการประชุมอนามัยระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณาการจัดตั้งองค์การทางด้านอนามัยให้เป็นองค์การหลักองค์การเดียว ในการดำเนินกิจกรรมทางด้านอนามัยแทนสำนักงานสาธารณสุขระหว่างประเทศและ องค์การอนามัยแห่งสันนิบาตชาติ องค์การอนามัยโลกจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1948 ซึ่งมีผลทำให้องค์การอนามัยโลกก้าวหน้าเข้ามาดำเนินกิจกรรมทางด้านอนามัยแทน สำนักงานสาธารณสุขระหว่างประเทศและองค์การอนามัยแห่งสันนิบาตชาติวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การอนามัยโลก

1. ช่วยหลือประชาชนทั่วโลกให้มีพลานามัยอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่สามารถจะทำได้ในร่างกายและจิตใจ

2. เพื่อประสานงานส่งเสริมการอนามัยระหว่างชาติ และความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศสมาชิกในการดำเนินงานตามโครงการอนามัยต่างรวม ทั้งกำหนดมาตรฐานยาและวัคซีน

3. เพื่อให้บริการทางวิชาการในด้านอนามัยระหว่างประเทศและส่งเสริมการวิจัยทางการแพทย์

จากบทบาทขององค์การอนามัยโลกที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการอนามัยโลกต่อ ประเทศต่างทั่วโลก ทำให้ประเทศสมาชิก 166 ประเทศทั่วโลก ได้พร้อมใจกันกำหนดให้วันที่ 7 เมษายน อันเป็นวันก่อตั้งองค์การอนามัยโลก เป็นวันอนามัยโลก

ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในวันอนามัยโลก จะมีการกำหนดคำขวัญ และแนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อให้ประเทศสมาชิกทั้ง 166 ประเทศได้มีแนวทางทำกิจกรรมในแนวเดี

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

หัวหอมสามารถแก้สิว


หัวหอมแดงธรรมดาๆ นี่แหละสามารถรักษาสิวฝ้า จุดด่างดำของคุณให้หายได้อย่างเห็นผลทันตา เพราะว่าใน หัวหอมสดประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย (Vilatile Oil) ซึ่งประกอบด้วยไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ (Diallyn Trisulfide) เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม

นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไกลโคไซด์ (Glycosides) เพคติน (Pectin) และกลูโคคินิน (Glucokinin) ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย ลดไขมันเส้นเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ทำให้เจริญหาอาหารและช่วยย่อยอาหาร ทำให้เจริญอาหารและช่วยย่อยอาหาร นอกจากนั้นยังพบอีกว่าในหัวหอมยังฟอสฟอรัสในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีอีกด้วย

วิธีง่ายๆคือ ทุบหรือฝานหัวหอมแดงให้เป็นแว่นบางๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือ จุดด่างดำ ไม่กีสัปดาห์คุณก็จะเห็นผล

วิธีทำยาแก้สิวและรอยด่างดำ

๑. นำหัวหอมมาประมาณ ๒-๓ หัวแล้วแต่ขนาดของหัวหอม หากหัวเล็กก็เพิ่มได้ตามปริมาณที่ต้องการ

๒. ฝานเป็นแว่นบาง ๆ

๓. ใช้แปะไว้ที่บริเวณที่เป็นสิว หรือแต้มที่หัวสิวที่อักเสบ

๔. ใช้แว่นหอมเช็ดบริเวณที่เป็นฝ้า

๕. วางแว่นหอมแปะไว้บนรอยบวมจากการบีบสิวหรือรอยด่างดำบนใบหน้า ทำอยู่อย่างนี้ทุก ๆ วัน ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็จะเริ่มเห็นผล รอยด่างดำจะค่อย ๆ เลือนจางลงเรื่อย ๆ

๖. หากไม่ใช้วิธีฝานเป็นแว่น ก็ใช้วิธีคั้นเอาเฉพาะน้ำของหัวหอม

๗. เอาน้ำนั้นไปแช่ตู้เย็นไว้ เพื่อลดกลิ่นและความซ่าที่ทำให้เราแสบตาลง

๘. ใช้ทาเม็ดผดผื่นคัน หรือทาใบหน้าก่อนเข้านอนทุกวัน จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ปราศจากการเกิดสิวได้อีก

ที่มา

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

ยอดซามูไร ยอมสิโรราบให้ ราชาแห่งเนื้อ กิว กิว เต้ (รัชดา18)

Pic_74776

ราวนี้เป็นการบุกอย่างเป็นจริงเป็นจังที่จะมาร้านนี้ ความอร่อย ความเป็นกันเองของเจ้าของร้าน บรรยากาศที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นร้านที่มีเนื้อหลายอย่างให้เลือก ทั้ง มัสซิทากะ โกเบ วากิว เห็นครั้งแรกคงด่ากันตายเลยครับ แต่อย่าไปสบประมาท ฝีไม้ลายมือของร้านนี้ ...

วันนี้อุณหภูมิทางการเมืองไม่รู้จะลดลง แล้วหรือยัง แต่ช่วงที่เขียนเรื่องนี้อยู่ท่ามกลางจุดสูงสุดของกระแสการเรียกร้อง "ยุบสภา" ของฝ่ายเสื้อแดง รัฐบาลจะเล่นด้วยไม่เล่นด้วย เอาเป็นว่าค่อยๆคุยกัน ไม่ว่าฝั่งนั้น หรือฝั่งนี้ ขอให้เอาประเทศไทยเป็นที่ตั้ง ให้สามารถอยู่รอดปลอดภัย ตอนนี้ชาติที่มีความสุขที่สุดที่เห็นเราตีกันคงหนีไม่พ้น "ประเทศราช" ในยุคก่อนนั้น ความเจริญความมั่งคั่งของประเทศคงจะจบสิ้นในมือเรา อย่าให้เป็นเช่นนั้น





มาหาของกินกันดีกว่า...วันจันทร์นี้ผมอยากจะแนะนำร้านเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่น ราคาคนไทยพอรับได้ "กิว กิว เต้ " แปลว่า "ร้านเนื้อย่าง" ผมมากินครั้งแรกกับคุณร่มฉัตร และคุณอู๊ด เพื่อนสองคน (เป็นร้านแรกที่เข้าทางที่คุณเปิ้ลแนะนำ) ผมยอมรับว่าอร่อยมาก ร้านนี้เป็นของสองสามีภรรยาที่สามีไปเป็นพ่อครัวที่ญี่ปุ่นกว่า 10 ปี หลังจากกลับมาก็เปิดร้านหมูกระทะ และมีเนื้อเกรดสูงๆให้ลองกัน ร้านนี้มีอีก 1 สาขาอยู่เลยร้านแรกที่เรามากินไปอีก 300 เมตร เป็นห้องแอร์เย็นช่ำ แต่ผมชอบร้านแรกมากกว่า ตั้งอยู่ตรงข้ามที่ดินห้วยขวาง (อีกร้านตั้งอยู่ถนนพระราม 3 ร้านนี้เป็นของญาติๆ แต่อาหารจะไม่ครบเท่าที่ร้านต้นตำรับ และรสชาติผิดไปจากร้านต้นตำหรับมากเช่นกัน...ถ้าจะกินแนะนำให้มาร้านต้นรับ ดีกว่า) เป็นร้านสไตล์ Open Air นั่งสบาย แต่หน้าร้อนแนะให้ไปร้านที่ถนนพระราม 3 ถ้าจะดีแน่

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

ดูแลผมสวยด้วยน้ำส้มสายชู

ทราบหรือไม่ว่า น้ำส้มสายชู สามารถทำให้ผมสวยได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...

ผม, เส้นผม, หนังศรีษะ, น้ำส้มสายชู, ผมสวย, แชมพู

การใช้น้ำส้มสายชู นอกจากจะช่วยให้มีเส้นผมเป็นเงางามแล้ว ยังช่วยคืนสภาพเส้นผมที่แห้ง และแตกปลายให้กลับมีสุขภาพดีขึ้นด้วย


1. เติมน้ำส้มสายชู 4 ช้อนชา ลงในแชมพู 2 ช้อนโต๊ะ ชโลมให้ทั่วศรีษะขณะสระผม


2. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสสำหรับสีผมอ่อน และน้ำส้มสายชูบัลซามิค สำหรับผมที่มีสีเข้ม


3. น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล จะช่วยในการขจัดแชมพูส่วนเกินที่ตกค้างอยู่บนหนังศรีษะ และ ปรับสภาพเส้นผมได้เป็นอย่างดีเมื่อใช้ในการล้างผมขั้นสุดท้ายอาจผสมน้ำอุ่น ในปริมาณที่เท่ากันก่อนใช้ก็ได้


4. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสครึ่งถ้วยผสมน้ำมะนาวครึ่งถ้วย หมักผม 10 นาที ก่อนสระผมจะช่วยให้สีผมที่คุณย้อมไว้เข้มขึ้น


5. ผสมน้ำส้มสายชู ชนิดที่ทำจากไวน์กับซอสถั่วเหลือง ใช้หมักผมและทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออกจะช่วยขับสีผมที่เข้มหรือดำให้ดำขึ้นทีละน้อย ทั้งนี้นอกจากซอสถั่วเหลืองจะมีโปรตีนที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้นแล้ว ยังมีเม็ดสีซึ่งจะช่วยให้ผมดำเข้มขึ้นอีกด้วย


ใครที่อยากมีผมสวยแต่ไม่อยากลงทุนเยอะ ลองนำน้ำส้มสายชูมาดูแลรักษาผมให้สวยกันดูได้.

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

สมุนไพรมะรุมยอดฮิต กินเป็นอาหารปลอดภัยสูง

Pic_74478

ในช่วงระยะไม่กี่ปีมานี้กระแสความฮิตติดตลาดของ "มะรุม" สมุนไพรชนิดหนึ่งที่อยู่คู่ครัวคนไทยมานาน ได้ถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกจำหน่ายจนได้ชื่อว่าเป็น "พืชมหัศจรรย์" กันถึงขนาดนั้น จนมีคนสงสัยว่าแล้วมันดีจริงหรือ

คุณ วีรพงษ์ เกรียงสินยศ แห่งมูลนิธิสุขภาพไทย ในฐานะองค์กรหนึ่งที่ส่งเสริมการใช้สมุนไพร เขียนในคอลัมน์ "จัดไป" ในนิตยสาร "ฉลาดซื้อ" เดือนมีนาคม บอกว่า

มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาด เล็กสูงได้ไม่เกิน 15 เมตร คนไทยมักนำผลอ่อนของมะรุมมาทำแกงส้มเป็นเวลานานแล้ว รวมทั้งเพื่อนบ้านไทย ลาว จีน แขกก็นำไปทำอาหารกินกันไม่น้อย เพราะต้นกำเนิดอยู่ทางอินเดียตอนเหนือ

คุณวีรพงษ์เล่าว่า องค์กรพัฒนาระหว่างประเทศยังแนะนำให้ประเทศยากจนในทวีปแอฟริกานำเอาใบมะรุม มาปรุงเป็นอาหาร เนื่องจากวิเคราะห์ แล้วพบว่าใบมะรุมมีวิตามินเอมากกว่าแครอต มีแคลเซียมมากกว่าน้ำนม มีธาตุเหล็กมากกว่าผักขม มีวิตามินซีมากกว่าส้ม และมีโปแตสเซียมมากกว่ากล้วย ที่สำคัญยังมีโปรตีนสูงอีกด้วย

ฟังดู แล้วก็น่าตื่นตะลึงกับที่พืชชนิดเดียวสามารถแก้ไขปัญหาความยากจน และการขาดสารอาหารได้หลายชนิด แต่ทั้งหมดนี้ต้องบอกก่อนว่า ควรเลือกกินมะรุมในรูปแบบอาหารจะดีกว่า เพราะมีความปลอดภัยสูง กินเป็นประจำจะได้รับวิตามินที่ดีเป็นจำนวนมาก และได้รับธาตุเหล็กซึ่งคนไทยขาดกันมาก จากข้อมูลของมูลนิธิสุขภาพไทยพบว่าสตรีบางรายมีปัญหาขาดธาตุเหล็กเมื่อกิน มะรุมเป็นประจำช่วยให้เธอมีสุขภาพดีขึ้น
ข้อควรระวัง ในการกินมะรุมเป็นอาหารสมุนไพรก็คือ มะรุมเป็นยาร้อนกระตุ้นระบบเลือดจึงไม่ควรใช้กับสตรีตั้งครรภ์และผู้ป่วยโรคเลือด

แต่ ถ้าเป็นกระแสฮิตที่มาพร้อมกับการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ หรือเป็นยานั้น ควรต้องชะลอไว้ก่อน เพราะยังต้องรองานวิจัยและศึกษากันต่อไป.

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

วันอนุรักษ์มรดกไทย



วันอนุรักษ์มรดกไทย ตรงกับวันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เนื่องมาจากเป็นวันคล้าย วันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี รัฐบาลจึงได้กำหนดเป็น “วันอนุรักษ์มรดกไทย” ด้วยตระหนักในพระปรีชาสามารถในด้านศิลปะวัฒนธรรม และพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงอนุเคราะห์สนับสนุนกิจกรรมอันเนื่องด้วยงานวัฒนธรรมของชาติเสมอมา

พระองค์ได้รับการทูลเกล้าฯถวายพระสมัญญา เมื่อพ.ศ. 2531 ว่า “เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” และ “วิศิษฏศิลปิน” เมื่อพ.ศ. 2546 ซึ่งมีความหมายว่าทรงพระปรีชาสามารถในการเป็นศิลปิน ทรงมีคุณูปการต่องานศิลปวัฒนธรรม และทรงเป็นเมธีทางด้านวัฒนธรรม

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ศิลปินแห่งชาติได้เขียนในคำนำหนังสือ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีกับการอนุรักษ์มรดกไทย" ตอนหนึ่งว่า

“....หน้าที่ในการรักษาและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของชาตินี้ เป็นภาระอันหนัก หากขาดความกล้าหาญและการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะรับได้ นอกจากนั้นก็ยังต้องการความเสียสละในเกือบจะทุกทาง ต้องการเวลา ต้องการความอดทน และที่สำคัญที่สุดก็คือจะละเว้นการศึกษาเสียมิได้ ต้องอยู่ในสิกขาตลอดไป

ทั้งหมดเหล่านี้เป็นพระคุณลักษณะของทูลกระหม่อม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ได้ทราบและสำนึกในพระบารมีของทูลกระหม่อมแล้ว ความมั่นใจก็จะเกิดขึ้นว่าสมบัติของชาตินั้น คงจะไม่สูญไปโดยง่าย พร้อมกับความภูมิใจที่จะต้องเกิดขึ้นว่า ตัวเรานั้นก็เป็นคนไทย เป็นเจ้าของสมบัติอันล้ำค่าที่ทูลกระหม่อมทรงรักษาไว้นี้ด้วยอีกผู้หนึ่ง ......”

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

วันข้าราชการพลเรือน



วันข้าราชการพลเรือน ตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เนื่องจาก สำนักงาน ก.พ. ได้นำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ขอให้กำหนดวันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็นวันข้าราชการพลเรือน เพราะเป็นวันที่ตรงกับวันประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรก คือวันที่ 1 เมษายน 2472 และเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงวางรากฐานระเบียบข้าราชการพลเรือนทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ สำนักงาน ก.พ. จึงได้จัดงานวันข้าราชการพลเรือนขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2523 เป็นต้นมา

ในการจัดงานวันข้าราชการพลเรือนมีการแสดงนิทรรศการผลงานของส่วนราชการต่างๆ และมีการยกย่องเชิดชูข้าราชการพลเรือนที่มีผลการปฏิบังานดีเด่น โดยในปี พ.ศ.2524 ได้จัดให้มี " โครงการคัดเลือกข้าราชการตัวอย่างที่ทำงานให้ประชาชนชื่นใจ " ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น " โครงการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น " โดยคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 เป็นต้นมา และได้จัดพิธีมอบเกียรติบัตร แก่ข้าราชการดีเด่นในงานวันข้าราชการพลเรือนของทุกๆปีจนถึงปัจจุบัน

วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันข้าราชการพลเรือน
1. เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ของข้าราชการในการเป็นผู้ให้ บริการ เสียสละ และอุทิศเวลาเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม
2. เพื่อให้ข้าราชการได้ตระหนักถึงเกียรติ หน้าที่ สามัคคี ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของข้าราชการ อันจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ ทัศนคติ ของประชาชนที่มีต่อข้าราชการให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
3. เพื่อเผยแพร่ผลงานใหม่ๆของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการประชาชน
4. เพื่อยกย่องส่งเสริมข้าราชการที่มีความประพฤติและผลปฏิบัติงานดีเด่น รวมถึงการเผยแพร่เกียรติคุณข้าราชการดีเด่นให้ปรากฎ อันจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ข้าราชการกระทำความดีตลอดไป
5. เพื่อให้วันข้าราชการพลเรือน (1 เมษายน) เป็นวันที่มีความหมายอยู่ในความทรงจำ และเป็นที่ยอมรับของข้าราชการและประชาชน โดยทั่วไป